วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

7 วิธี ดูแลผิวยังไงให้เนียนใส ดูเด็กลง

เคล็บลับง่ายๆของการมีผิวเด็กกับ 7 วิธี ดูแลตัวเองยังไงที่ช่วยให้ผิวคงอ่อนเยาว์ และมีสุขภาพที่ดีได้อย่างยาวนาน



ข้อ 1 ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

เพราะน้ำถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของระบบการไหลเวียนของโลหิต และน้ำยังจัดเป็นส่วนประกอบถึง 2 ใน 3 ของร่างกาย ดังนั้น การจิบน้ำบ่อยๆหรือการจิบน้ำเรื่อยๆทั้งวัน จะทำให้ระบบเลือดมีการไหลเวียนที่ดีขึ้น เมื่อเลือดมีการไหลเวียนที่ดี ก็จะสามารถลำเรียงสารต่างๆเพื่อไปบำรุงหรือซ่อมแซมเซลล์ผิวในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวมีความชุ่มชื่น มีความยึดหยุ่น ริ้วรอยหรือรอยเหี่ยวย่นต่างๆก่อนวัยก็จะเกิดได้ยาก

การดื่มน้ำควรดื่มให้ได้วันละ 6-8 แก้วต่อวัน และห้ามดื่มที่เดียวหรือดื่มในปริมาณทีละเยอะๆ การดื่มที่ถูกวิธีคือ หลังตื่นนอนตอนเช้าให้ดื่มน้ำ 1-2 แก้วทีเดียวหมด หลังจากนั้นใช้วิธีค่อยๆจิบไปเรื่อยๆในระหว่างวัน

ข้อ 2 ทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดอยู่เสมอ

เพื่อช่วยให้ผิวได้รับการบำรุงและได้รับการป้องกันที่ดีตลอดเวลา เพราะสภาวะและสิ่งแวดล้อมต่างๆจากภายนอกไม่ว่าจะมาจากแสงแดด แสงไฟ ฝุ่นควัน สารเคมี และอื่นๆ ที่เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ทำลายผิว ทำให้ผิวมีริ้วรอยเกิดขึ้นก่อนวัย 

ข้อ 3 มาร์กหน้า/ขัดผิว 

การมาร์คหน้าหรือการขัดผิวด้วยสมุนไพร จะช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วหรือเซลล์ผิวเก่าที่ยังหลงเหลือติดบนบริเวณใบหน้าให้หลุดออกได้หมด ทำให้เกิดเซลล์ผิวใหม่เกิดขึ้นมาทดแทน ทำให้ผิวมีความเนียนเรียบ สีผิวสม่ำเสมอเพิ่มขึ้น และสว่างใสขึ้น แต่การมาร์คหรือการขัดผิวควรทำอาทิตย์ละ 2 ครั้งก็เพียงพอ เพราะการขัดผิวที่บ่อยเกินไป จะทำให้เซลล์ผิวที่จะสร้างขึ้นมาใหม่แทนที่ เกิดการสร้างไม่ทัน ทำให้ผิวหน้ามีความบางลง และเกิดการอักเสบได้ง่ายกว่าปกติ

ข้อ 4 ลดความเคลียด

เพราะความเครียดและความกังวลจะก่อให้เกิดสาร Cortisol ขึ้น ซึ่งสารๆนี้เป็นฮอร์โมนที่เข้าไปทำลายสาร Collagen และไปช่วยเร่งทำให้เกิดอนุมูลอิสระในผิว การลดเคลียแล้วเปลี่ยนมาทำจิตใจให้สดใส จะทำให้ต่อมไร้ท่อหลั่ง Epinephrine Hormone ออกมาทำให้ระบบการสูบฉีดโลหิตดี เส้นเลือดขยายตัว โลหิตแดงที่ไปเลี้ยงสมองมีอุณหภูมิลดลง ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย  

ข้อ 5 ออกกำลังกาย

การออกกำลังกายจะช่วยให้การสูบฉีดเลือดดีขึ้น ส่งผลให้ผิวพรรณของเราเปล่งปลั่ง สดใส ในขณะเดียวกันที่ร่างกายได้ทำการสร้างกล้ามเนื้อก็จะผลิตเอนไซม์ตัวนึงขึ้นมา ซึ่งเอนไซม์ตัวนี้จะช่วยทำให้ผิวพรรณของเรากระชับและอ่อนวัยขึ้น

ข้อ 6 เลือกทานอาหาร

เลือกทานอาหารที่มีสารช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระ เพราะจะช่วยให้ผิวมีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้น ทำให้ริ้วรอยเกิดยาก โดยเลือกทานอาหารที่มี วิตามินC, E, เบต้า แคโรทีน, เหล็ก, ซีลีเนียม, ฟลาโนวอยส์ และ โพลีฟีนอล สารอาหารต่างๆเหล่านี้จะอยู่ในอาหารจำพวก ผัก ผลไม้สีเข้ม เนื้อปลา เนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน และธัญพืช 



วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

กินอย่างไรให้ร่างกายสดใส กระปี้กระเปร่า มีสุขภาพแข็งแรง

เคยเป็นไหม... ทั้งๆที่พักผ่อนอย่างเพียงพอแล้ว แต่ทำไม่ร่างกายยังรู้สึกอ่อนเพลียอยู่ตลอดเวลา นี่อาจเป็นสัญญานบางอย่าง ที่บ่งบอกและแสดงออกให้เห็นว่าร่างกายเราอาจจะกำลังขาดสารอาหารหรือวิตามินบางชนิดอยู่ก็เป็นได้


อาหารเพื่อสุขภาพ หมายถึง อาหารที่กินเข้าไปแล้วก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นอาหารที่ทำให้ร่างกายมีสุขภาพที่ดี ช่วยทำให้ร่างกายเจริญเติบโต ช่วยสร้างกล้ามเนื้อ สมอง กระดูก และผิวหนัง ช่วยให้พลังงานและความอบอุ่นแก่ร่างกายในการทำกิจกรรมต่างๆ ช่วยซ่อมแซมและเสริมสร้างส่วนต่างๆที่สึกหรอ ช่วยให้การทำงานของอวัยวะภายในร่างกายเป็นปกติ และช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายในการต้านทานโรค 

ใครที่กำลังมีปัญหากับอาการอ่อนเพลีย ไม่กระปี้กระเปร่า แบบนี้อยู่แล้วละก็ วันนี้เรามีทิปดีๆที่จะมาแนะนำ เรื่องของการกินอย่างไรให้ร่างกายสดใส มีสุขภาพแข็งแรงมาแนะนำ รับรองว่าได้ผลอย่างแน่นอน

ขั้นตอนแรก คือ การดื่มน้ำอย่างน้อย 7-8 แก้วต่อวัน โดยเฉพาะวันไหนที่หากเรามีความรู้สึกว่าอ่อนเพลียหลังการตื่นนอน ให้ลองชงน้ำอุ่นกับน้ำมะนาวผสมกันแล้วดื่มก่อน 1 แก้ว สูตรนี้จะช่วยให้ร่างกายตื่นตัวและสดชื้นขึ้นได้ นอกจากนี้น้ำมะนาวยังช่วยขจัดสิ่งต่างๆ ในร่างกายให้ไหลออกผ่านออกทางปัสสาวะ ซึ่งจะช่วยทำให้ระบบทางเดินปัสสาวะทำงานดีขึ้น และกรดซิตริกในน้ำมะนาวยังจะช่วยเพิ่มการทำงานของเอนไซม์ที่ช่วยกระตุ้นตับและช่วยในการล้างสารพิษอีกด้วย

ขั้นตอนที่สอง คือ การทานอาหารเช้า เพราะการรับประทานอาหารเช้ามีส่วนเพิ่มประสิทธิภาพของ ระบบความจำ ทักษะการเรียนรู้ จึงเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด

อาหารเช้าควรกินอะไร

  • กินอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต โดยในมื้อเช้าควรเลือกรับประทานคาร์บไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ เพราะจะให้พลังงานอย่างช้าๆ และให้พลังงานได้นานกว่า ทำให้ไม่หิวบ่อย ร่างกายจะได้รับพลังงานจนถึงมื้อต่อไปได้
  • อาหารที่ให้สารอาหารโปรตีน เช่น นมสด เนื้อสัตว์ ไข่และถั่วเมล็ดแห้ง เป็นต้น โดยอาหารประเภทโปรตีนเมื่อผ่านการย่อยจะให้กรดอะมิโน ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย นอกจากนี้กรดอะมิโนยังช่วยในการสร้างสารสื่อประสาท ทำให้การทำงานหรือการเรียนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • น้ำมันและไขมันจากพืชและสัตว์ เพราะอาหารหมู่นี้เป็นแหล่งสำคัญที่ให้ไขมัน ซึ่งจะให้พลังงานและความอบอุ่นแก่ร่างกาย ช่วยการดูดซึมของวิตามินที่ละลายในไขมันและให้กรดไขมัน รวมถึงให้กรดไขมันที่จำเป็นแก่ร่างกายซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของระบบประสาทและสมอง
  • ผักใบเขียวและผลไม้ ซึ่งเป็นแหล่งสำคัญที่ให้วิตามินและเกลือแร่ อาทิ วิตามินบีและโคลีน ที่ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมอง 


ขั้นตอนที่สาม คือ กินอาหารเสริมระหว่างวัน โดยการหาของกินที่มีประโยชน์มาทานเล่น เช่น ถั่ว ผัก ผลไม้ นม เป็นต้น

  • ในถั่วจะประกอบไปด้วยสารอาหารต่างๆมากมาย เช่น แมกนีเซียม โฟเลต วิตามินบี วิตามินอี วิตามินบี 3 และ กรดไขมันอัลฟาไลโนเลอิก (ALA) ที่ร่างกายต้องการ
  • ผักผลไม้สด เป็นแหล่งของวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดที่มีประโยชน์ และมีคุณสมบัติของการเป็นแหล่งใยอาหาร ซึ่งเป็นสารที่ช่วยลดการดูดซึมของคอเลสเตอรอลและไขมัน และยังช่วยทำให้ระบบการย่อย ระบบการขับถ่ายทำงานได้อย่างปกติ
  • การดื่มนม เป็นประจำจะทำให้ร่างกายของเราได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์อย่างโปรตีน และแคลเซี่ยม

ขั้นตอนที่สี่ คือ ดื่มเครื่องดื่มที่ช่วยให้ร่างกายสดชื่น เช่น น้ำผลไม้ น้ำชา เป็นต้น 


อาหารเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินชีวิต การกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ จึงถือว่าจำเป็นอย่างมาก เพื่อที่จะช่วยเสริมสร้างให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง

วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เปลี่ยนผิวคล้ำเสีย ให้กลับมาขาวใส ด้วยวิธีที่เร่งด่วน

เมื่อผิวต้องเผชิญกับมลภาวะ แสงแดด ฝุ่นควัน เป็นระยะเวลานานสะสม ทำให้ผิวเกิดความหมองคล่ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ และมีริ้วรอย ฝ้า กระ จุดด่างดำต่างๆเกิดขึ้น วันนี้เราจึงนำเคล็บลับดีๆพร้อมทั้งวิธีการที่จะช่วยฟื้นฟูให้ผิวที่เสียนั้นกลับมามีสุขภาพดี ขาว เนียนใส แบบเร่งด่วน ต้องทำยังไงบ้างมาเตรียมอุปกรณ์กันเลย


สูตรที่ 1 แป้งถั่วเหลือง + น้ำนม 
นำแป้งถั่วเหลืองและน้ำนม อย่างละ 1 ช้อนโต๊ะ มาผสมคนให้เข้ากัน แล้วนำมาทาพอกลงบนผิวทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง แล้วจากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่น

สูตรที่ 2 มะเขือเทศ + แตงกวา
ใช้มะเขือเทศ 1 ลูก กับแตงกวาครึ่งลูก นำมาบดผสมให้เข้ากัน จากนั้นนำมาพอกทิ้งไว้ที่ผิวหน้า 15-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

สูตรที่ 3 น้ำผึ้ง + มะขาม
นำเนื้อมะขาม 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำผึ้งครึ่งช้อนโต๊ะ มาผสมคนให้เข้ากัน แล้วนำมาขัดถูเบาๆให้ทั่วใบหน้า พอกทิ้งไว้ 15-20 นาที ล้างออกด้วยน้ำเปล่า

สูตรที่ 4 มะละกอ + นมสด
นำเนื้อมะละกอมาผสมกับนมสดให้เป็นเนื้อหนืดๆ แล้วนำมาพอกไว้ที่ผิว 20 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้าเปล่า

สูตรที่ 5 แอ๊ปเปิ้ล + น้ำมะนาว 
นำแอ๊ปเปิ้ลครึงผลมาปั่นให้ละเอียดผสมน้ำมะนาวลงไป 1 ช้อนชา คนให้เข้ากันแล้วนำมานวดวนๆที่ผิว เสร็จแล้วพอกทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออก

สูตรที่ 6 มะนาว + ดินสอพอง
ผสมน้ำมะนาวครึ่งลูกกับดินสอพอง 4-5 เม็ดจนได้เนื้อครีมที่เหนียวข้น พอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออก

สูตรที่ 7 โยเกิร์ต + มะนาว
ผสมโยเกิร์ตครึ่งถ้วยกับน้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากันแล้วนำไปพอกทิ้งไว้บนใบหน้า 15-20 นาที แล้วล้างออก

สูตรที่ 8 ผงขมิ้น + นมสด
ผสมผงขมิ้นกับนมสด ให้ได้เป็นเนื้อเหลวๆจากนั้นนำมาพอกทิ้งไว้ที่ผิว 20 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด

สูตรที่ 9 หัวไชเท้า + น้ำมะนาว
ปั่นน้ำมะนาวครึ่งช้อนโต๊ะรวมกับหัวไชเท้าครึ่งถ้วยตวงให้ละเอียด จนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำไปพอกหน้าทิ้ง 15-20 นาที จากนั้นล้างออกให้สะอาด


ในการขัดผิวหรือการพอกผิว ควรทำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ก็เพียงพอแล้ว เพราะถ้าหากทำบ่อยหรือถี่จนเกินไป จะส่งผลให้ผิวหนังของเราบอบบางและอ่อนแอลง ทำให้ผิวมีปฏิกิริยาไว้กว่าแสงแดดมากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะผิวไม่สามารถฟื้นฟูเซลล์ที่ขึ้นมาใหม่ได้ทัน



วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เคล็ดลับผิวสวย หน้าใส ตามแบบฉบับของสาวเกาหลี

วันนี้เราจะมาแนะนำเคล็ดลับดีๆ ของการดูแลผิวในแต่ละวัน ว่าควรมีวิธีการบำรุงดูแลอย่างไรบ้าง ที่ทำช่วยทำให้ผิวพรรณของเรานั้น เนีนยสวย ขาวใส ตามแบบฉบับเหมือนสาวเกาหลี เป็นเคล็ดลับที่ทำง่ายมากๆ ถ้าใครที่ทำตามครบทุกขั้นตอนและทำได้อย่างสม่ำเสมอแล้วละก็ รับรองได้ว่าไม่เกิน 2 สัปดาห์ผิวขาวๆสวยๆจะมาปรากฏให้เห็นบนผิวของเราอย่างแน่นอน


มาเริ่มขั้นตอนของการดูแลผิวกันเลย

ขั้นตอนแรก : ให้ใช้ Cleansing เช็ดทำความสะอาดผิวหน้าก่อนล้างหน้าด้วยโฟมทุกครั้ง เพราะการใช้สบู่หรือโฟมล้างหน้าเพื่อช่วยทำความสะอาดผิวหน้าเพียงอย่างเดียวคงไม่พอ เนื่องจากสิ่งสกปรก
ที่เกาะติดตามบริเวณรูขุ่มขนที่มาในรูปของน้ำมันที่เหนี่ยวแน่น จากผลิตภัณฑ์ต่างๆ อาทิ เช่น ครีมกันแดด เมคอัพกันน้ำ รองพื้นหนาๆ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถชำระล้างออกได้ด้วยโฟมอย่างแน่นอน

ขั้นตอนที่สอง : ควรใช้โทนเนอร์เช็ดทำความสะอาดผิวหน้าทุกครั้ง หลังจากที่ล้างหน้าด้วยโฟมเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพื่อให้แน่ใจว่าผิวหน้าสะอาดปราศจากสิ่งสกปรกตกค้างแล้วจริงๆ นอกจากนี้การใช้โทนเนอร์เช็ดทำความสะอาดผิวหน้ายังช่วยในเรื่องปรับสมดุลของผิว ลดความมันบนใบหน้า กระชับรูขุมขน และยังช่วยให้ครีมบำรุงทำงานดีขึ้นอีกด้วย

ขั้นตอนที่สาม : ทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวทุกวัน ทั้งกลางวันและก่อนนอน หลังการทำความสะอาดผิวหน้าเสร็จ เพื่อช่วยบำรุง ฟื้นฟูผิวให้นุ่นชุ่มชื้น เนียนขาว มีสุขภาพดี

ขั้นตอนที่สี่ : ทาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปกป้องแสงแดดทุกวันตอนกลางวัน โดยมีค่า SPF30 PA++ ขึ้นไป เพื่อป้องกันผิวจากการโดนทำลายด้วย รังสี UV และชะลอริ้วรอยไม่ให้เกิดก่อนวัย

ขั้นตอนที่ห้า : ทานอาหาร และอาหารเสริม ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ เช่น เนื้อไม่ติดมัน ผัก ผลไม้ และวิตามินต่างๆ เพราะอาหารเหล่านี้ทานแล้วจะช่วยให้สุขภาพดี ชะลอวัย และต้านโรคภัยต่างๆได้

ขั้นตอนที่หก : ดื่นน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว ใช้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย การดื่มน้ำทันทีหลังจากที่ตื่นนอนใหม่ๆ 2 แก้ว จะช่วยขับชำระล้างของเสียออกจากร่างกายได้

ขั้นตอนที่เจ็ด : ออกกำลังกายทุกวัน วันละ 30 นาที เพราะการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง ระบบต่างๆในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ระบบไหลเวียนของเลือดทำงานได้ดี มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ผ่อนคลายความตึงเครียด ทำให้อารมณ์แจ่มใส และช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ

ขั้นตอนที่แปด : นอนให้ครบ 7-8 ชัวโมง ต่อวัน เพราะการนอนหลับถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนที่ดีที่สุด เพราะอวัยวะในส่วนต่างๆของร่างกายที่สึกหรอจะทำหน้าที่ซ่อมแซมเซลล์ผิวหนังหรือของเราและยังช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนของร่างกายด้วย



วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เต้าหู้ มีประโยชน์ ช่วยให้นมใหญ่ ผิวใส ไม่อ้วนอีกต่างหาก


เต้าหู้ เป็นอาหารดั้งเดิมของคนประเทศจีนที่มีมาตั้งแต่ในสมัยโบราณ ในช่วงเทศกาลกินเจของชาวจีน มักจะนิยมเอาเต้าหู้มาใช้เป็นวัตถุดิบหลักในการปรุงอาหารเป็นจำนวนมาก


เต้าหู้ทำมาจากถั่วเหลืองที่ใช้เทคนิคการตกตะกอน และจับตัวเป็นก้อนของโปรตีนในแป้งถั่วเหลือง โดยใช้สารตกตะกอนเข้าช่วย ลักษณะทั่วไปเป็นก้อนแข็งหรืออ่อนนุ่ม มีสีเหลืองอ่อนหรือสีขาวนวลน้ำนม


ประโยชน์ของเต้าหู้

  • เต้าหู้ เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงโดยเฉพาะโปรตีน ซึ่งจะให้โปรตีนมากกว่าเนื้อสัตว์บางชนิดถึง 2 เท่า แม้ทานในปริมาณที่เท่ากัน แต่ไม่มีคอเลสเตอรอลอยู่เลย
  • เต้าหู้ที่ทำจากถั่วเหลืองยังมีสาร เลซิติน ซึ่งมีผลในการลดไขมันและช่วยสงเสริมการทำงานของระบบประสาทที่เกี่ยวกับความทรงจำ และฮอร์โมนจากพืช ไฟโตเอสโทรเจน ที่มีการผลการวิจัยแล้วว่ามีผลในการช่วยป้องกันมะเร็งและมีผลดีต่อผู้หญิงวัยทอง 
  • สามารถช่วยชะลอภาวะหมดประจำเดือนและลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านม 
  • โปรตีนจากถั่วเหลืองแปรรูปนี้มีกรดแอมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายถึง 8 ชนิด และยังเป็นโปรตีนที่ให้ไฟเบอร์หรือกากใยอาหารที่ช่วยในเรื่องระบบย่อยอาหาร
  • มีประสิทธิภาพในการลดคอเลสเตอรอลและลดระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือดได้


กิน & ดื่มน้ำเต้าหู้เป็นประจำช่วยให้นมใหญ่ ?

เนื่องจากในถั่วเหลืองที่นำมาทำเต้าหู้นั้นมี สารเอสโตรเจน (Estrogen) ฮอร์โมนเพศหญิง เป็นฮอร์โมนที่ร่างกายผลิตเมื่ออยู่ในช่วงวัยเจริญพันธ์ โดยไข่ในรังไข่ของผู้หญิงจะไปกระตุ้นให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนออกมา ซึ่งหากร่างกายมีฮอร์โมนนี้ในระดับเหมาะสมก็จะส่งเสริมให้มีลักษณะของความเป็นผู้หญิงเด่นชัด ผิวพรรณเปล่งปลั่ง รูปร่างมีส่วนโค้งส่วนเว้า และทำให้หน้าอกขยายใหญ่ขึ้น


เต้าหู้ช่วยให้ผิวใสได้

เพราะเต้าหู้เป็นแหล่งไขมันและโปรตีนที่มีประโยชน์แก่ร่างกาย ที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่ได้จากถั่ว ไม่ว่าจะเป็น คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามิน AB, B1, B2, B6, B12 ไนอาซิน และวิตามิน C, D, E และด้วยวิตามินอีที่มีในปริมาณที่สูง จึงมีส่วนช่วยต้านสารอนุมูลอิสระ ช่วยดูแลเนื้อเยื่อร่างกายให้เป็นปกติ ทำให้ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่ง และยังช่วยชะลอความแก่ได้อีกด้วย


กินเต้าหู้ในปริมาณไหนให้ได้ประโยชน์

การบริโภคเต้าหู้นั้นเราควรบริโภค 5-6 ก้อน (ไม่เกินนี้) ต่อ 1 วัน ถึงจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายที่จะได้รับโปรตีน แต่ในความเป็นจริงเราสามารถบริโภคเต้าหู้ในปริมาณที่ลดลงได้ เพราะการทานปลา ถั่ว ข้าวโพด และไข่ นี่ก็เป็นอาหารประเภทของโปรตีนเช่นเดียวกัน ซึ่งมันสามารถทดแทนกันได้ 




วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

กินอาหารดี กินอาหารที่ถูกวิธี ช่วยยืดอายุไม่ให้แก่ก่อนวัย

คำว่า "อาหาร" กับ "สุขภาพ" เป็นสิ่งที่มาคู่กันเสมอ ฉนั้นทุกครั้งก่อนทานเราจึงควรคำนึงถึงผลที่มีต่อสุขภาพ ร่างกาย และผลที่จะได้รับกลับคืนมาด้วยเสียก่อน เพราะไม่ว่าใครก็คงอยากจะมีสุขภาพที่ดี หุ่นดี กันหมดทุกคนทั้งนั้น ดังนั้น เราจึงควรหันมาใส่ใจในการเลือกซื้อเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ ที่ช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรง ดีกว่าที่จะไปเลือกทาอาหารที่เมื่อทานเข้าไปแล้วให้ผลเสียต่อร่างกายมากกว่าผลดี


การทานอาหารที่ถูกวิธี

ควรทานอาหารเช้าทุกมื้อ 
เพราะการรับประทานอาหารเช้าเป็นประจำ จะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารเข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกาย ช่วยให้ร่างกายและสมองมีการเจริญเติบโต มีส่วนเพิ่มประสิทธิภาพการเรียน การทำงาน ทำให้ระบบความจำ ทักษะการเรียนรู้ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน โดยคนที่รับประทานอาหารเช้าจะมีภาวะผิดปกติของฮอร์โมนอินซูลิน หรือที่เรียกว่าภาวะดื้อต่ออินซูลินซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเบาหวานนั้นลดลงถึง 35-50%

เลือกทานอาหารจากธรรมชาติไม่ขัดสี
เช่น ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์(มอลต์) ถั่ว ข้าวสาลี (โฮลวีต) เมล็ดทานตะวัน เป็นต้น เพราะอาหารที่ไม่ขัดสีเหล่านี้ เป็นแหล่งรวมของแร่ธาตุ วิตามิน ทำให้รักษาคุณค่าไว้อย่างครบครัน มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วย แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม ธาตุเหล็ก เลซิทิน โปแตสเซียม วิตามินอี และไฟเบอร์ ที่มาจากธัญพืชที่มีประโยชน์ นอกจากนี้ยังช่วยลดคอเลสเตอรอล และความดันโลหิตได้

ทานผัก ผลไม้ 
เพราะสารอาหารจากพืช ผัก และผลไม้ จะช่วยทำให้ระบบขับถ่ายและระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้นสารอาหารในพืช ผัก จะช่วยทำให้ร่างกายสามารถต่อต้านสารพิษต่างๆได้ ร่างกายจะสามารถขับถ่ายของเสียออกมาได้หมด ทำให้ไม่มีสารพิษตกค้างอยู่ภายใน การกินผัก ผลไม้ เป็นประจำ จะช่วยทำให้เลือดถูกฟอกสะอาด อีกทั้งยังทำให้เซลล์ส่วนต่างๆของร่างกายเสื่อมช้าลง ทำให้อวัยวะสำคัญภายในร่างกายแข็งแรง ทำงานได้เป็นปกติสมบูรณ์

กินปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่
เพราะในปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่เป็นแหล่งโปรตีนที่เป็นสารอาหารที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับ เพื่อนำไปเสริมสร้างร่างกายให้มีการเจริญเติบโต และซ่อมแซมเนื้อเยื่อซึ่งเสื่อมสลายให้กลับมาอยู่ในสภาพปกติ เนื่องจาก 

  • ปลา เป็นแหล่งอาหารโปรตีนที่ดี ย่อยง่าย มีไขมันต่ำ หากกินปลาแทนเนื้อสัตว์เป็นประจำ จะช่วยลดปริมาณไขมันในโลหิต ในเนื้อปลายังมีฟอสฟอรัสสูง ทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง นอกจากนี้ในปลาทะเลทุกชนิดยังมีสารไอโอดีน ที่ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคขาดสารไอโอดีน 
  • เนื้อสัตว์ไม่ติดมันทุกชนิดให้โปรตีนแก่ร่างกาย การกินเนื้อสัตว์ไม่ติดมันเป็นประจำ จะทำให้ร่างกายได้รับโปรตีนอย่างเพียงพอ และยังช่วยลดการสะสมไขมันในร่างกายและโลหิต
  • ไข่ เป็นอาหารอีกชนิดหนึ่งที่มีโปรตีนสูง มีแร่ธาตุและวิตามินที่จำเป็น  และเป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากมายหลายชนิด ปริมาณการรับประทาน เด็กไม่ควรทานเกินวันละ 1 ฟอง ผู้ใหญ่ควรรับประทาน 2-3 ฟอง ต่อสัปดาห์


ดื่มน้ำในเพียงพอในแต่ละวัน
การดื่มน้ำอุ่นจะช่วยดีท็อกซ์ของเสียออกจากร่างกายที่ไหลเวียนอยู่ตามอวัยวะสำคัญต่างๆ เช่น ปอด ตับ ไต และลำไส้ โดยที่น้ำอุ่นจะช่วยขับถ่ายของเสียออกมาทาง ปัสสาวะ อุจจาระ การดื่มน้ำอุ่น 1 แก้วตอนตื่นใหม่ๆในขณะที่ท้องกำลังว่างอยู่ เป็นการลดแก๊สในกระเพาะอาหารและยังช่วยกระตุ้นระบบขับถ่ายของเราให้ทำงานเป็นปกติ การจิบน้ำอุ่นเป็นประจำทุกวัน ช่วยให้ร่างกายไม่สะสมเชื้อโรคไวรัสและแบคทีเรีย ที่สามารถนำไปสู่อาการเจ็บป่วยต่างๆได้ การดื่มน้ำอุ่นให้ได้อย่างน้อย 2 แก้วต่อวันยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับร่างกาย ผิวพรรณ ทำให้เลือดในร่างกายมีการกระตุ้นทำเกิดการไหลเวียนที่ดี

งดอาหารรสจัด
รสชาติของอาหารทุกชนิดนั้น มีความสำคัญต่ออวัยวะภายในของร่างกาย การบริโภคในปริมาณที่รสชาติจัดจ้านมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นรสหวาน เค็ม เผ็ด หรือรสเปรี้ยว มีโทษต่อร่างกายเสมอ

ทานอาหารที่ถูกสุขอนามัย
ควรทานอาหารที่ปรุงสุก อาหารสดสะอาด ปราศจากการปนเปื้อน 



เพราะการทานอาหารไม่ใช่แค่เพียงทานเพื่อการตอบสนองต่อความต้องการของเรา หรือทานเพื่อให้ร่างกายของเรานั้นได้อิ่มท้องเท่านั้น แต่การทานอะไรก็ตามที่เข้าไปในร่างกายของเราแล้ว สิ่งเหล่านั้นจะส่งผลสะท้อนกลับคืนมาในรูปแบบของสุขภาพของเราไม่ช้าก็เร็ว ดังนั้นเราจึงควรหันมาใส่ใจ และพิถีพิถันในการเลือกซื้อ เลือกทาน กันซะตั้งแต่ตอนนี้จะดีที่สุด




วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ผลไม้ที่ช่วยชะลอวัย กินแล้วหน้าเด็ก เด้ง สุขภาพดี

รู้หรือไม่ว่า ผลไม้บางชนิดเมื่อทานเข้าไปแล้ว ไม่เพียงแต่ให้แค่ความอร่อยเท่านั้น แต่ยังมีคุณประโยชน์อีกมากมายที่ส่งผลดีทั้งต่อร่างกายและผิวพรรณของเราได้โดยตรง ทั้งในเรื่องของความสวยงามและในเรื่องของการชะลอวัย มีอะไรอยู่บ้าง ต้องรีบไปซื้อมากินด่วนเลย


ลูกพรุน

ลูกพรุนหรือเรียกอีกชื่อว่าลูกพลัม ซึ่งในลูกพรุนนั้นจะประกอบไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น 
  • เหล็ก (Iron) เป็นส่วนประกอบที่ใช้ในการสังเคราะห์ฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ช่วยให้ผิวมีเม็ดเลือดฝาด 
  • วิตามิน B2 (Riboflavin) ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง กระบวนการสร้างช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์ โดยเฉพาะกับผิวหนัง เล็บและผม
  • วิตามิน C (Ascorbic Acid) สารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) เป็นส่วนประกอบพิเศษที่ช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลายในปริมาณสูง ช่วยทำให้ร่างกายและสมองแก่ตัวช้าลงและมีอัตราการเกิดโรคมะเร็งน้อยลงมีส่วนช่วยในกระบวนการสังเคราะห์เม็ดเลือดแดงช่วยให้ร่างกายต่อต้านแบคทีเรียได้ดียิ่งขึ้น
  • วิตามิน E เป็น Anti-oxidant ช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาของออกซิเจนที่ไม่สมบูรณ์ภายในร่างกาย ช่วยการไหลเวียนของโลหิต ช่วยยืดอายุของเม็ดเลือดแดงทำให้ผิวพรรณเนียนนุ่มชุ่มชื่น ไม่เหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร
  • แคลเซียม (Calcium) ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน รักษาระดับการเต้นของหัวใจ ช่วยระบบประสาทให้เป็นปกติ

ฝรั่ง

เป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด โดยจัดเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงที่สุด โดยประโยชน์ของวิตามินในฝรั่งนี้สามารช่วยต้านอนุมูลอิสระทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส ช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว ช่วยป้องกันโรคหวัด โดยวิตามินซีจะมีมากบริเวณเปลือก วิตามินซีทำหน้าที่ในการเสริมสร้างคอลลาเจนขึ้นมา ทำให้ผิวพรรณของเรานั่นเต่งตึงไม่แก่ก่อนวัย และในผลฝรั่งยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่จำเป็นต่างๆ เช่น ฟอสฟอรัส และทองแดง ที่ช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง ทำให้เราเรียนรู้และจดจำอะไรได้อย่างรวดเร็ว

กล้วย

อุดมไปด้วยเส้นใยและกากอาหาร และยังวิตามินและแร่ธาตุนาๆชนิด ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ธาตุเหล็ก ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุโพแทสเซียม ธาตุแมกนีเซียม คาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามินเอ วิตามินบี6 วิตามินบี12 และ วิตามินซี เป็นต้น กล้วยยังมีวิตามินและแร่ธาตุต่างๆมากกว่าแอปเปิ้ลถึง 2 เท่า โดยมีคาร์โบไฮเดรตมากกว่า 2 เท่า มีฟอสฟอรัสมากกว่า 3 เท่า มีโปรตีนมากกว่า 4 เท่า วิตามินเอและธาตุเหล็กมากกว่า 5 เท่าด้วยกัน กล้วยจึงมีประโยชน์มากมาย เพราะด้วยธาตุโพแทสเซียมที่สูง แต่โซเดียมต่ำ กล้วยจึงช่วยในการลดความดันของโลหิตได้ แถมยังมีธาตุเหล็กสูงที่ช่วยกระตุ้นการผลิตฮีโมโกลบินในเลือด ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีเม็ดเลือดฝาด และปริมาณเส้นใยอาหารที่มีอยู่ในกล้วยเป็นจำนวนมากจึงช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ

แอ๊ปเปิ้ล

คุณค่าทางโภชนาของแอปเปิ้ลต่อน้ำหนัก 100 กรัม จะให้พลังงาน 52 kcal และ 220 kJ และยังประกอบไปด้วยวิตามิน และแร่ธาตุที่มีความสำคัญอย่างมากต่อร่างกาย เช่น วิตามินเอ วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 วิตามินบี5 วิตามินบี6 กรดโฟลิก วิตามินซี ธาตุแคลเซียม ธาตุแมกนีเซียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุสังกะสี ธาตุเหล็ก และยังประกอบไปด้วย คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และ โปรตีน ซึ่งแอ๊ปเปิ้ลแต่ละสีจะมีสรรพคุณโดดเด่น แตกต่างกันออกไป คือ
  • แอปเปิ้ลสีแดง จะมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระเยอะที่สุด จึงเหมาะแก่การช่วยชะลอวัย ลดริ้วรอย เป็นต้น
  • แอปเปิ้ลสีชมพู มีสารที่ช่วยยับยั้งการเกิดฝ้าและช่วยชะลอความแก่ชราได้ และยังช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ลดไข้ ลดการอักเสบ และยังช่วยให้เส้น เลือดฝอยแข็งแรง
  • แอปเปิ้ลเขียว มีรสชาติเปรี้ยวอมหวาน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก เพราะมีน้ำตาลน้อยกว่าแอปเปิ้ลสีอื่น
  • แอปเปิ้ลเหลือง จะมีสารที่ช่วยในการลดอัตราความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง ต้อกระจก และโรคหลอดเลือดหัวใจ

บร็อคโคลี่

ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ช่วยบำรุงผิวพรรณ เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวหนัง ช่วยชะลอผิวพรรณไม่ให้เหี่ยวย่น ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ ช่วยบำรุงและรักษาสายตา ช่วยป้องกันการเกิดต้อกระจก ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง เนื่องจากบร็อคโคลี่เป็นผักที่มีแคลเซียมสูงจึงสามารถป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ แถมยังช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งต่างๆ เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งผิวหนัง มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งต่อมลูกหมาก ช่วยป้องกันอนุมูลอิสระที่จะเข้าไปทำลายเซลล์และทำลาย DNA ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง

ส้ม

มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระมากมาย จึงช่วยในการชะลอวัย มีคุณสมบัติในการช่วยสร้างคอลลาเจน ทำให้ช่วยลดเลือนหรือชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัยได้ ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ช่วยให้ผิวมีสุขภาพดีไม่แห้งกร้าน ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันการเกิดโรคต้อกระจก ช่วยเสริมสร้างกระดูดให้แข็งแรง ด้วยแคลเซียม และการกินส้มก็ช่วยลดสภาวะความเครียด ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง

ทับทิม

ทับทิมมีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดที่มีประสิทธิภาพสูงมาก และมีประโยชน์ต่อผิวในเรื่องการช่วยต่อต้านริ้วรอย ผลทับทิมมีวิตามินซีสูง ซึ่งจะมีประสิทธิภาพในการช่วยเรื่องผิวพรรณให้ขาวกระจ่างสดใส
สามารถลดภาวะการสะสมไขมันในผนังเส้นเลือด ป้องกันเส้นเลือดอุดตันและแข็งตัวซึ่งจะให้เป็นโรคหัวใจขาดเลือดตามมา



หน้าเด็กลงได้ง่ายๆ ด้วยการนอนห้อยหัววันละ 10 นาที

รู้หรือไม่ว่าแค่การนอนห้อยหัวเพียงวันละ 10 นาที เป็นประจำทุกวัน สามารถช่วยให้ใบหน้าของเรานั้นแลดูเด็กลงได้ พร้อมทั้งยังมีข้อดีต่างๆอีกมากมาย มีอะไรบ้างมาดูกัน


ช่วยให้สมองโลดแล่น

เนื่องจากเซลล์ต่างๆของสมองต้องการเลือดไปหล่อเลี้ยงอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นการที่เรานอนห้อยหัวจงช่วยให้เลือดไหลเวียนไปสู่สมองได้ง่ายและมากขึ้น จึงทำให้เซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆตรงสมองได้รับการบำรุงซ่อมแซม และได้รับเลือดหล่อเลี้ยงระบบต่างๆอย่างเต็มที่ เลยทำให้ระบบสมองเรามีความคิด การอ่านที่ดีขึ้น มีความจำที่ดีขึ้น ลดการเกิดโรคอัลไซเมอร์ และไมเกรนได้ นอกจากนี้ ยังลดอาการเกิดผมหงอก ผมขาว แถมยังช่วยให้สีผมกลับมาเป็นสีปกติ และยังทำให้มีความคิดในแง่บวก มองโลกในแง่ดี เพราะเกิดการช่วยกระตุ้นต่อมหมวกไตที่ผลิตฮอร์โมนสำคัญๆอีกหลายชนิด

ช่วยให้ผิวอ่อนเยาว์ สดใส

เพราะในขณะที่เรานอนห้อยหัวเพื่อให้เลือดได้ไหลเวียนไปยังส่วนสมอง ในระยะเวลานั้นผิวหน้าของเราก็จะได้รับเลือดไปล่อเลี้ยงผิวด้วยเช่นกัน ทำให้ใบหน้าเราได้รับออกซิเจนและสารอาหารต่างๆมาล่อเลี้ยงที่ผิว ผิวจึงมีการสร้างเซลล์ผิวหน้าที่มากขึ้น ทำให้ผิวหน้าเปล่งปลั่ง เต่งตึง ริ้วรอยเหี่ยวย่นที่มีลดลง และยังช่วยในเรื่องของการยกหน้า (Face Lift) อีกด้วย

ช่วยปรับสมดุลต่างๆ

เนื่องจากสมองเป็นแหล่งรวมระบบประสาทและการทำงานต่างๆของร่างกาย การนอนห้อยหัวเพื่อให้เลือดไปหล่อเลี้ยงได้ดีขึ้น จึงเป็นการไปกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดยังต่อมต่างๆ เช่น ต่อมใต้สมองและต่อมไฮโปทาลามัส ที่มีความสำคัญต่อร่างกายและเป็นต่อมสำคัญที่จะไปควบคุมการทำงานของต่อมอื่นๆในร่างกาย ต่อมไธรอยด์ ต่อมไพเนียล นี่มีหน้าที่ช่วยสร้างสารเซโรโตนินกระตุ้นให้เราตื่นในตอนกลางวัน และสร้างสารเมตาโตนินทำให้เรารู้สึกง่วงนอนในเวลากลางคืน และยังช่วยควบคุมระบบการทำงานของฮอร์โมนเพศที่มีหน้าสำคัญในการเจริญเติบโตของร่างกายให้เป็นปกติ 

ป้องกันโรคอัมพาต

การนอนห้อยหัวมีส่วนช่วยและป้องกันความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคภาวะสมองขาดเลือดและทำให้เกิดอาการอัมพาตเฉียบพลัน เพราะการนอนห้อยหัวนอกจากจะเป็นการส่งเลือด ไปเลี้ยงทำให้ไม่เกิดภาวะสมองขาดเลือดแล้ว การให้เลือดไหลเวียนขึ้นสู่ใบหน้าจนสีหน้าแดงกล่ำ ยังเปรียบเสมือนบริหารท่อเลือดอยู่เสมอ ท่อเลือดจึงไม่เกิดการอุดตันจากการไม่ได้ใช้งานขึ้นนั้นเอง



วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

อยากดวงตากลมสวย น่ามอง ต้องกินไรบ้าง มาดูเลย

ดวงตา ถือเป็นหน้าต่างของหัวใจ เป็นอวัยวะที่สามารถใช้ในการสื่อสารและแสดงออกถึงความรู้สึกได้อย่างมากมาย และที่สำคัญคือเป็นอวัยวะที่ใช้ในการมองเห็นสิ่งต่างๆรอบตัว เราจึงควรที่จะต้องดูแลเอาใจใส่และถนุถนอมดวงตาให้มาก


อาหารที่ช่วยบำรุงสายตา

การกินผักใบเขียวทุกวันจะช่วยลดการเกิดโรคหัวใจ ทั้งยังช่วยในเรื่องของการมองเห็น เพราะในผักใบเขียว มีแคโรทีนอยด์ถึงสองชนิดคือ ลูทีน และซีแซนทิน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม และยังอุดมไปด้วยกรดโฟลิกที่จะช่วยให้ร่างกายผลิตเซลล์ใหม่ ๆ ที่เป็นแหล่งวิตามินอีและโฟเลตที่ช่วยชะลอปัญหาความจำเสื่อม นอกจากนี้ในผักใบเขียวยังมี วิตามินเอ ซึ่งมีส่วนช่วยในเรื่องของการทำงานของเซลล์พิเศษที่อยู่ที่จอประสาทตา ทำให้เซลล์ของจอประสาทตาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ผักบุ้ง ถือว่าเป็นผักที่ช่วยในเรื่องของการบำรุงสายตาโดยเฉพาะ เพราะในผักบุ้งนั้นจะประกอบไปด้วยเส้นใย, วิตามินเอ, วิตามินซี, วิตามินบี1, วิตามินบี2, วิตามินบี3, แคลเซียม, ฟอสฟอรัส, เหล็ก ที่ช่วยบำรุงสายตา รักษาอาการตาต้อ ตาฝ้าฟาง ตาแดง สายตาสั้น อาการคันนัยตาบ่อยๆ และยังช่วยบำรุงให้ผิวพรรณผ่องใส มีน้ำมีนวล ช่วยชะลอริ้วรอยก่อนวัย

ตำลึง เป็นผักที่มีคุณค่าทางอาหารสูง เป็นพืชที่มีบีตาแคโรทีนที่ดีที่สุด บีตาแคโรทีนนี้เป็นสารกลุ่มคาโรทีนอยด์ทำหน้าที่กรองแสงให้กับดวงตา ป้องกันไฟเบอร์ของเลนส์ตาจากความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการถูกออกซิไดซ์ด้วยแสง ป้องกันการเกิดต้อตา บีตาแคโรทีนเป็นสารที่เปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ จัดเป็นสารกลุ่มคาโรทีนอยด์ที่มีประสิทธิภาพการทำงานดีที่สุด

คะน้า มีสารต้านอนุมูลอิสระ คือวิตามินซีและเบต้า-แคโรทีน ซึ่งร่างการจะเปล่ยนเป็นวิตามินเอที่มีผลต่อการบำรุงสายตา เสริมสร้างสุขภาพผิวพรรณและต้านทานการติดเชื้อ

แครอท มีสารเบต้าแคโรทีนมากที่สุดในบรรดาผักสีส้ม นอกจากนี้แครอทก็ยังมีไวตามินและแร่ธาตุอื่นอีกหลายชนิด ซึ่งช่วยในการบำรุงรักษาดวงตาเพราะมันมีผลต่อปฏิกริยาเคมีของดวงตาต่อแสง

ฝักทอง จะมีสารลูทีนที่ช่วยดูดซับแสงสีน้ำเงินในแถบสีการมองเห็น ช่วยปกป้องการทำลายของคลื่นสั้นที่มีต่อเยื่อบุผิวเรตินา ช่วยป้องกันความเสื่อมในจุดด่างของดวงตา ช่วยสร้างสารต้านอนุมูลอิสระในที่ช่วยในการป้องกันเยื่อแก้วตานั่นเอง

ปลาทะเล เพราะในปลามีโอเมก้า 3 ซึ่งสารอาหารจากปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาแซลมอน นั้นจะประกอบไปด้วยกรด EPA และ DHA ที่สามารถช่วยให้สายตาทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และช่วยลดอาการเมื่อยล้าของดวงตา


ข้อควรปฏิบัติของการใช้ชีวิตประจำวัน

  • ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ควรทานอาหารที่มีสารอาหาร ลูทีน (Lutein) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) ที่เป็นสารธรรมชาติที่มีในอยู่ในพืชผักผลไม้หลายชนิด เป็นสารในตระกูลของสารแคโรทีนอยด์
  • เมื่อใช้สายตามากๆหรือนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ควรพักมองไปพื้นที่ไกลๆ หรือหลับตาเพื่อพักสายตา ทุกๆครึ่ง หรือ 1 ชั่วโมง 
  • การอ่านหนังสือ ควรให้ระยะสายตาห่างออกจากหนังสือประมาณ 1 ฟุต และควรอ่านในพื้นที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ
  • ควรสวมแว่นกันแดดที่ช่วยป้องกันหรือดูดซับรังสีอุลตร้าไวโอเลต เมื่อต้องเจอแสงแดดหรือออกไปกลางแจ้งทุกครั้ง
  • ควรปรับความสว่างของจอโทรทัศน์ จอคอม จอมือถือให้พอควร ไม่ให้มีแสงจ้าหรือจัดเกินไป และไม่ควรจ้องสิ่งเหล่านี้ใกล้ๆ ควรเว้นระยะห่างเอาไว้เพื่อให้ให้สายตาเสีย
  • ห้ามใช้มือขยี้ตา หรือถูบริเวณดวงตาแรงๆ เมื่อมีฝุ่นละอองหรือเศษผงเข้าตา ให้ใช้น้ำสะอาดหรือน้ำยาล้างตาออกแทน เพื่อไม่ให้ดวงตาบอบช้ำ หรือเกิดการอักเสบ
  • หลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แว่นตา
  • ควรบริหารดวงตาทุกวัน โดยการกรอกลูกตาหมุนเป็นวงกลมหมุนด้านละ 10 รอบ
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ วันละ 6-8 ชั่วโมง



วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

แช่น้ำแร่ ช่วยให้ผิวดีขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์

น้ำแร่ คือ น้ำที่มาจากธรรมชาติเป็นน้ำที่อยู่ในใต้ดิน เราไม่สามารถผสมหรือผลิตขึ้นมาเองได้ น้ำแร่จะประกอบไปด้วยสารและแร่ธาตุสำคัญต่างๆ ที่มีประโยชน์ทั้งต่อเซลล์และอวัยวะของร่างกาย เช่น โพแทสเซียม โซเดียมไบคาร์บอเนต แคลเซียม แมกนีเซียม ซัลเฟต ไอโอดีน สังกะสี เป็นต้น ซึ่งสารและแร่ธาตุต่างๆเหล่านี้ ร่างกายของเราสามารถนำไปใช้ได้โดยทันที ไม่ว่าจะมาจากการดื่มหรือจากการลงไปแช่ตัวก็ตาม 


น้ำแร่ เป็นน้ำที่เกิดจากการที่น้ำซึมผ่านชั้นของดินและหิน แบ่งออกได้เป็น ชนิดเย็น ชนิดอุ่น ชนิดร้อน และชนิดร้อนจัด ส่วนใหญ่คนทั่วไปมักจะเรียก น้ำแร่ชนิดร้อนนี้ว่า น้ำพุร้อน ( Naturaal Hot Spings ) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ที่มีน้ำร้อนผุดขึ้นมาจากชั้นใต้ดินโดยที่น้ำยังคงความร้อนอยู่ จึงผ่านกระบวนการกรองตามธรรมชาติ ทำให้น้ำพุสะอาด ปราศจากสารสังเคราะห์ และอุดมไปด้วยแร่ธาตุมากมาย เพราะเนื่องจากที่น้ำมีอุณหภูมิที่ร้อน จึงได้ละลายแร่ธาตุจากหินใต้ดินออกมาด้วย


การดื่มน้ำแร่ธรรมชาติ

จะช่วยเสริมสร้างแร่ธาตุต่างๆที่ได้รับไม่เพียงพอ หรือสูญเสียจากการได้รับประทานอาหารที่ไม่ครบหมู่ ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบการเผาผลาญอาหาร (metabolism) และยังช่วยล้างพิษที่ตกค้างของภายในร่างกาย 

ข้อดีของการอาบน้ำแร่ หรือ แช่น้ำแร่

การแช่น้ำโดยใช้น้ำที่มีอุณหภูมิสูงในระดับที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต มีผลต่อการผ่อนคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ เป็นผลให้รู้สึกสบายตัวยิ่งขึ้น

ในน้ำพุร้อนไม่เพียงแต่จะประกอบไปด้วยสารละลายแร่ธาตุต่างๆเท่านั้น แต่น้ำพุร้อนยังมีแรงดันซึ่งสามารถช่วยกระตุ้นสภาพของร่างกาย การที่เราปล่อยให้น้ำพุร้อนพยุงตัวให้ตัวลอยขึ้นเหนือน้ำ ซึ่งการพยุงตัวลอยเหนือน้ำพุร้อนนี้จะทำให้ร่างกายเราปลอดโปร่ง และยังช่วยกระตุ้นทำให้สภาวะแวดล้อมภายในมดลูกและช่องท้องดีขึ้น การอาบน้ำร้อนจะทำให้รูขุมขนของร่างกายเปิดกว้างออก เป็นการทำความสะอาดรูขุมขน และช่วยทำให้แร่ธาตุในน้ำพุร้อนไหลถ่ายเทตามรูขนเข้าไปในร่างกาย การอาบน้ำพุร้อนจึงเป็นการทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า ลดความเครียด และเป็นการทำให้เกิดความสมดุลในระบบประสาท

การอาบน้ำพุร้อน ควรอาบน้ำพุร้อนวันละ 2 – 3 ครั้งๆละ 30 นาที

สารและแร่ธาตุต่างๆในน้ำแร่มีประโยชน์อะไรบ้าง

  • โพแทสเซียม ( Potassium ) ช่วยให้กล้ามเนื้อหดและคลายตัวตามจังหวะการเต้นของหัวใจ
  • แคลเซียม ( Calcium ) ช่วยในการสร้างกระดูกและฟันและป้องกันโรคหัวใจ
  • โซเดียมและแมกนีเซียม ( Sodium & Magnesium ) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
  • ไอโอดีน ( Iodine ) ช่วยควบคุมระบบเผาผลาญอาหารในร่างกาย
  • สังกะสี ( Zinc ) ช่วยในการสร้างเซลล์ เสริมภูมิคุ้มกัน และสร้างสมดุลในร่างกาย

ข้อควรปฏิบัติ

สิ่งที่สำคัญและควรพิจารณาก่อนการอาบน้ำพุร้อนคือ การคำนึงถึงความสะอาด ห้องอาบน้ำร้อนต้องมีอากาศถ่ายเท ควรชำระร่างกายภายหลังจากการแช่น้ำพุร้อนไปแล้ว 7 ชั่วโมง เพราะ กว่าแร่ธาตุที่อยู่ในน้ำพุร้อนจะซึมผ่านชั้นรูขนเข้าไปในร่างกายต้องใช้เวลา 6 – 7 ชั่วโมง หากอาบน้ำหลังการขึ้นจากน้ำพุร้อนทันที จะทำให้เราชำระล้างเอาแร่ธาตุต่างๆที่เกาะอยูบนผิวหนังออกไปหมดนั้นเอง



วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

สีประจำเดือน สามารถบอกถึงสุขภาพของภายในร่างกายได้

รู้หรือไม่ว่าสีของประจำเดือนในแต่ละเดือนที่ออกมาจากร่างกายเรา สามารถบ่งบอกถึงสุขภาพของระบบภายในเราได้ ถ้าเราลองสังเกตุดีๆแล้วเราจะรู้ว่า สีของประจำเดือนในแต่ครั้งที่ออกมานั้น บางเดือนจะมีสีเข้ม บางเดือนจะมีสีอ่อน บางทีมาน้อย บางทีมามาก หรือบางครั้งอาจไม่มา ขาดหายไปบ้างในบางเดือน 


วันนี้เราเลยจะมาอธิบายเกี่ยวกับสีของประจำในแต่ละสีว่า มีสีไหนที่แสดงถึงสุขภาพร่างกายที่ปกติ สีไหนที่แสดงออกมาว่าร่างกายของเรามีปัญหา แล้วสาเหตุของสีประจำเดือนในแต่ละที่เปลี่ยนแปลงนั้น เกิดขึ้นเพราะจากสาเหตุอะไร แล้วจะมีวิธีการแก้ไขอย่างไรให้ร่างกายเรากลับมาดี


ประจำเดือนสีดำคล้ำ

ประจำเดือนสีน้ำตาลหรือสีดำคล้ำไม่ใช่เรื่องผิดปกติ  หลายคนอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสีของประจำเดือน จึงคิดไปว่าประจำเดือนสีดำคือเลือดเสีย ทั้งที่จริงแล้วการที่เลือดประจำเดือนเป็นสีดำคล้ำ เป็นเพราะเลือดนั้นไปตกค้างอยู่ในบริเวณช่องคลอดเป็นเวลานาน เลยทำให้สีเลือดมีสีที่เข้มขึ้นนั้นเอง เลือดที่เป็นสีดำคล้ำมักเกิดขึ้นตอนประจำเดือนเริ่มมาใหม่ๆ หรือช่วงที่ประจำเดือนใกล้จะหมด เพราะเลือดที่ไหลออกมาในช่วงนี้จะออกมาน้อยและค่อยๆไหลซึมออกมา ทำให้เกิดการติดค้างอยู่ในช่องคลอดนั้นเอง 

แต่ถ้าสีของประจำเดือนเป็นสีเข้มแบบนี้เกิน 3 วัน แสดงว่ามีปัญหาเกี่ยวกับผังผืดภายใน พังผืดภายในอาจเกิดขึ้นจากโรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบ เยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ 

หลักการรักษา : พังผืดภายในช่องท้อง ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของพังผืด ขนาดความมากน้อยที่เกิดและความรุนแรงของปัญหาที่เกิดขึ้น ในกรณีที่อาการไม่รุนแรง อาจไม่ต้องผ่าตัดรักษา แต่ในรายที่อาการุนแรง จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดรักษา การผ่าตัดทำได้สองวิธี คือ ผ่าตัดโดยการใช้กล้อง และผ่าตัดผ่านทางหน้าท้องปกติ


ประจำเดือนสีแดงเข้ม

อาจเกิดจากร่างกายได้รับอากาศที่ร้อนจัด หรืออาจเกิดจากการกินอาหารทอดหรือมันสูง ทำให้เกิดการหลั่งของเลือดที่มาเร็วขึ้น แต่ถ้าหากประจำเดือนนี้ยังออกมามากและเป็นสีแดงเข้มนานกว่า 4-5 วัน และมีอาการปวดท้องร่วมอยู่ อาจเป็นเพราะอุ้งเชิงกรานเกิดการอักเสบ หรือมีซีสต์และผังผืดในรังไข่ ควรไปปรึกษาแพทย์ หรือขอคำแแนะนำ

หลักการรักษา :  ควรดื่มน้ำในอุณหภูมิปกติอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว ออกกำลังกายบ่อยๆ และเลือกทานอาหารที่ช่วยคล้ายร้อย


ประจำเดือนสีแดงอ่อน

เกิดจากการมีเลือดและมีสารอาหารในเลือดน้อย ส่งผลให้กระเพาะอาหาร ตับ และไต ทำงานผิดปกติซึ่งตับมีหน้าที่ส่งเลือดไปตามอวัยวะต่างๆ หากตับอ่อนแอก็จะทำให้การทำงานทำได้ไม่ดี ส่งผลให้ประจำเดือนมาน้อยกระปริบกระปอย ทำให้ไม่อยากอาหาร หรือรู้สึกท้องอืดง่าย

ประจำเดือนสีแดงอ่อน / มาน้อย อาจเกิดจากการมีปัญหาเกี่ยวกับเลือด เช่น เลือดจาง เลือดน้อย รวมอยู่ด้วย
ประจำเดือนสีแดงอ่อน มามาก / เกิดจากเลือดทำงานติดขับ การไหลเวียนของเลือดไม่ดี

หลักการรักษา : ทานอาหารเช้าเป็นประจำทุกวัน โดยเลือกทานอาหารที่มีไขมันต่ำ ย่อยง่าย นอกจากนี้ควรพักผ่อนให้เพียงพอ หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอควบคู่ไปด้วย


ประจำเดือนขาดหาย

  • อาจเกิดจากความเครียด เกิดความผิดปกติของทางด้านอารมณ์ ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน ทำให้ประจำเดือนเกิดความคลาดเคลื่อน 
  • มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ เช่น ต่อมไทรอยด์มีปัญหาทำให้การผลิตฮอร์โมนน้อยเกินไป
  • การตั้งครรภ์ จะทำให้ไม่มีประจำเดือนมาจนกว่าจะคลอดลูกเสร็จ 
  • ยาคุมกำเนิดบางตัวกินแล้วอาจจะมีผลข้างเคียง ทำให้ประจำเดือนขาดไป
  • เกิดอาการผิดปกติของรังไข่ ที่ทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ
หลักการรักษา : ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ผ่อนคลายความเคลียดด้วยการทำกิจกรรมต่างๆ และปรึกษาแพทย์



วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

สาระน่ารู้ : ประโยชน์ของถั่ว

ถ้าพูดถึงถั่วใครหลายๆคนคงมองว่าเป็นอาหาร­ที่ไม่มีความสำคัญอะไร แต่คุณรู้หรือไม่ว่า มีผลงานวิจัยออกมายืนยันแล้วว่าถั่วสามารถ­ทำให้เราอายุยืนได้จริง !!


ถั่ว คือ โปรตีนชนิดหนึ่งที่เป็นอาหารที่มีไขมันค่อนข้างสูง แต่ไขมันส่วนใหญ่ในถั่วนั้นจะเป็นไขมันชนิดที่ดี เป็นประเภทไขมันที่ไม่อิ่มตัว โดยเฉพาะไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่มีมาก เพราะไขมันชนิดนี้สามารถช่วยขจัดโคเลสเตอรอลออกจากร่างกายได้

ถั่วเป็นอาหารที่มีสัดส่วนของสารอาหารอื่นๆที่มีประโยชน์เป็นส่วนประกอบอยู่ด้วย คือ

  • แมกนีเซียม ที่ช่วยลดควมดันโลหิต
  • โฟเลตและวิตามินบี เป็นตัวช่วยเปลี่ยนสารโฮโมซิสเตอีน (Homocystiene) เป็นสารที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อหลอดเลือด และลดระดับโฮโมซิสเตอีน
  • วิตามินอี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องหลอดเลือด
  • วิตามินบี 3 หรือไนอะซิน ที่มีมากในถั่วลิสง มีส่วนช่วยลดไตรกลีเซอร์ไรด์ และเพิ่มโคเลสเตอรอลที่ดี(HDL)
  • กรดไขมันอัลฟาไลโนเลอิก (ALA) ในถั่ววอลนัต จะเปลี่ยนเป็นกรดไขมันโอเมก้า 3 ในร่างกาย ช่วยป้องกันหลอดเลือดอักเสบ หลอดเลือดอุดตัน ช่วยควบคุมระดับไตรกลีเซอร์ไรด์
  • เส้นใยอาหาร ช่วยขจัดโคเลสเตอรอลไม่ดี
  • ซีลีเนียม (Selenium) เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันและชะลอความชรา โดยซีลีเนียม และวิตามินอี จะทำงานเสริมกัน ซึ่งต่างก็ช่วยให้อีกฝ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยซีลีเนียมมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการสร้างกลูตาไธโอนเพอรอกซิเดส ซึ่งเป็น สารต่อต้านอนุมูลอิสระ หลักของร่างกายที่พบได้ในทุกเซลล์


ประโยชน์ของถั่วแต่ละชนิด

วอลนัต ( Walnut ) มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกายในทุกระบบ และช่วยชะลอความเสื่อมของสมอง ช่วยเพิ่มความจำ นอกจากนี้ยังช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ช่วยให้ผิวพรรณสวยและผมเป็นเงางาม อีกทั้งมีรายงานวิจัยพบว่าถั่ววอลนัทยังช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งเต้านม ช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลในร่างกาย และลดความเสี่ยงโรคหัวใจขาดเลือดได้อีกด้วย

วิธีกินวอลนัทให้ได้คุณค่ามากที่สุด คือ กะเทาะเปลือกและเอาเมล็ดมากินทันทีจะได้สารอาหารที่สมบูรณ์หรือเลือกเมล็ดที่แกะมาแล้วและบรรจุในถุงสุญญากาศก็ได้ กินวันละ 4 – 5 เมล็ด

พิสทาชิโอ ( Pistachio ) เป็นถั่วที่มีไขมันต่ำและยังช่วยในเรื่องของการบำรุงหัวใจ อีกทั้งยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก ถ้าเทียบกับน้ำหนักของถั่วใน 1ออนซ์ พิสทาชิโอจะให้ใยอาหารมากกว่าผักโขมครึ่งถ้วย และในถั่วพิสทาชิโอยังอุดมไปด้วยวิตามิน B-6, ฟอสฟอรัสและแมกนีเซียม ที่ผลการวิจัยใหม่ชี้ให้เห็นว่า ถั่วพิซาชิโอนั้นมีสารต่อต้านสาร Prebiotic ซึ่งเป็นสารอาหารบางชนิดที่ร่างกายย่อยไม่ได้

อัลมอนด์ ( Almond ) เป็นถั่วที่มีคุณค่าทางสารอาหารต่อร่างกายสูงกว่าถั่วชนิดอื่นๆมาก เป็นถั่วที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง ในอัลมอนด์ 100 กรัม จะมีวิตามินอี 24 มิลลิกรัม อัลมอนด์เป็นแหล่งของแร่ธาตุแคลเซียมที่ป้องกันไวรัส อีกทั้งอัลมอนด์ยังมีเลทริลที่เชื่อว่าเป็นสารประกอบที่ต่อสู้กับเนื้องอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีสังกะสีสูง ช่วยสร้างความแข็งแรงให้ภูมิคุ้มกันและทำให้แผลหายเร็ว อัลมอนด์เต็มไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนที่ให้คุณค่าทางสารอาหาร จึงช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้

ถั่วเหลือง ( Soybean ) เป็นพืชที่มีสารอาหารสูงที่สุดในบรรดาเมล็ดพันธุ์ทั้งหมด โดยในถั่วเหลืองนั้นจะมีกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายหลายอย่าง ได้แก่ ไขมันไม่อิ่มตัวอยู่ร้อยละ 63% ไขมันอิ่มตัวร้อยละ 15% ไขมันไม่อิ่มตัวชนิดเดี่ยว 24 % และยังมีกรด linoleic acid ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อมนุษย์ มีสาร phytoestrogen เป็นส่วนประกอบที่สำคัญ สาร phytoestrogen จะออกฤทธิ์เหมือนฮอร์โมนเพศหญิง โดยทำให้การยืดหยุ่นของหลอดเลือดดีขึ้น ช่วยควบคุมอาการที่เกี่ยวเนื่องกับการหมดประจำเดือน ช่วยป้องกันมะเร็ง อีกทั้งยังอุดมด้วยวิตามินอีที่คอยต้านอนุมูลอิสระ และวิตามินบีที่มีบทบาทในการบำรุงระบบประสาทและช่วยร่างกายต่อสู้กับความเครียด

ปริมาณที่เหมาะสมในการทานถั่วและเมล็ดพืชต่างๆ

ปริมาณที่เหมาะสมในการทานถั่วและเมล็ดพืชต่างๆนั้นจะต้องคำนึงถึงปริมาณพลังงานของถั่วแต่ละชนิดตามน้ำหนัก ซึ่งถั่วที่แนะนำให้ทานในช่วงลดน้ำหนักจะเป็นถั่วชนิดที่มีเปลือกแข็ง และควรจำกัดปริมาณการรับประทานต่อครั้งไม่เกิน 28.4กรัมหรือประมาณอุ้งมือเรานั่นเอง



วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

การสครับ ช่วยให้ผิวขาวใสได้

คนเราเมื่อมีอายุที่เพิ่มมากขึ้น บวกกับการที่ได้รับผลกระทบจากสภาวะสิ่งแวดล้อมภายนอก ทั้งมลภาวะ แสงแดด สารเคมี หรือสิ่งต่างๆที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว เป็นระยะเวลานานสะสม จะส่งผลให้กระบวนการ Turnover นี้ทำงานได้ช้าลง การผลัดเซลล์ผิวตามธรรมชาติที่มี ก็จะประสิทธิภาพที่น้อยลง ผลที่ตามมาทำให้เกิดเป็นชั้นขี้ไคลที่หนาขึ้น ผิวหมองคล้ำไม่เนียนเรียบนั้นเอง และยังส่งผลให้เมื่อมีการบำรุงโดยการทาผลิตภัณฑ์ดูแลผิวต่างๆก็จะไม่สามารถซึมซับได้ดี



สครับผิว ( Scrubs ) คืออะไร

สครับ คือ กระบวนการผลัดหรือการกำจัดเซลล์ผิวในส่วนที่ตายหรือเสื่อมสภาพให้หลุดออก

การทำความสะอาดผิวด้วยการสครับ จะช่วยในการขจัดสิ่งสกปรกที่อุดตันตามรูขุมขน รวมทั้งเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพหรือเซลล์ผิวหนังชั้นนอกที่ตายแล้ว ที่เกาะอยู่บนบริเวณผิวหนังชั้นนอกให้หลุดออกได้เร็วขึ้น วิธีนี้เป็นวิธีที่นิยมแต่ต้องระวังและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนกับผิว ต้องระวังไม่รุนแรงกับผิว เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคือง และอาจทำร้ายเซลล์ผิวที่ดีได้ ดังนั้นต้องทำด้วยความระมัดระวังมากที่สุด

โดยทั่วไปกระบวนการผลัดเซลล์ผิวหน้าของคนเรา ( Cell Turnover ) จะมีการผลัดเซลล์ที่ผิวชั้นนอก ( epidermis ) ตามปกติ เมื่อเซลล์ผิวด้านนอกสุดตายลง ผิวข้างในล่างชั้นถัดมาก็ค่อยๆขยับตัวออกมาสู่ภายนอกแทนผิวที่ตายไป และเซลล์ผิวด้านในก็จะมีการสร้างเซลล์ขึ้นมาทดแทนใหม่ โดยกระบวนการนี้จะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ที่จะให้ผิวเก่าหลุดลอกออกไปและเผยผิวใหม่ออกมา ในวัยเด็กและวัยรุ่น กระบวนการ Cell Turnover นี้จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยตัวของมันเอง แต่หากเราเริ่มมีอายุที่เพิ่มมากขึ้น ประสิทธิภาพของการผลัดเซลล์ของผิวก็จะลดลงตามเช่นกัน

ประโยชน์ของการสครับผิว

ช่วยให้ผิวพรรณดูกระจ่างใส่ ช่วยกำจัดสิ่งสกปรกที่ฝั่งลึกใต้เซลล์ผิวหนัง ช่วยลดการอุดตันของท่อใต้ผิวหนัง ลดโอกาสของการเกิดสิวและจุดด่างดำ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และช่วยกำจัดของเสียออกทางระบบน้ำเหลืองได้อีกด้วย

สครับมีอยู่ด้วยกันอยู่ 2 ประเภท คือ 

สครับจากธรรมชาติ ( Natural scrubs ) เป็นสครับที่ทำขึ้นมาเองมาจากพืช สมุนไพร เม็ดสครับจะมีขนาดเล็กรูปร่างไม่แน่นอน สครับประเภทนี้มีผลต่อการระคายเคืองผิวน้อยที่สุด สามารถใช้ได้สัปดาห์ละไม่เกิน 3 ครั้ง

สครับจากกระบวนการทางเคมี ( Chemical scrub ) เป็นสครับที่ทำมาจากการสังเคราะห์ มีมากมายหลายสูตรตามแต่ละสภาพผิว สครับประเภทนี้มีเม็ดสครับที่แตกต่างกันออกไป บางชนิดเป็นเพียงแค่เม็ดพลาสติกธรรมดา บางประเภทมีการเคลือบหรือชุบสารสกัดธรรมชาติ สครับประเภทนี้มีโอกาสที่จะก่อให้เกิดการระคายต่อผิวได้มากกว่าสครับจากธรรมชาติ ก่อนการใช้ทุกครั้งควรเลือกสูตรอ่อนโยน และเหมาะกับสภาพผิว ไม่ควรใช้เกินสัปดาห์ละ 2 ครั้ง


การสครับผิวอย่างไรให้ถูกวิธี

  • ควรสครับใบหน้าหรือผิวกายในช่วงเวลาเย็น เพราะหลังจากสครับผิวเสร็จใหม่ๆไม่ควรให้ผิวต้องเผชิญกับแสงแดดทันที 
  • สำหรับผิวที่เป็นสิว วรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีกรดของ Salicylic Acid ที่ไม่เข้มข้นจนเกินไปเพราะจะก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว
  • การสครับผิวนั้นไม่ควรเกินสัปดาห์ละ 3 ครั้งหรือตามแต่ประเภทของสครับ
  • จากสครับผิวเป็นที่เรียบร้อย ควรมีการบำรุงผิวด้วยการทาผลิตภัณฑ์บำรุงที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอร์ไรเซอร์และคอลลาเจน เพื่อให้ผิวคงความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นได้ดียิ่งขึ้น


ดังนั้นการขจัดเซลล์ผิวที่ตายไปแล้วเป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะจะทำให้ใบหน้าดูสดใส และการทาครีมบำรุงผิวก็จะได้ประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย แล้วยังทำให้ผิวด้านใต้ที่สร้างขึ้นมาใหม่ได้รวดเร็วขึ้น สดใส แข็งแรงขึ้น




วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ดูแลผิวให้เนียนเรียบ ขาว ใส มีสุขภาพดี !!


การที่เราจะมีสุขภาพผิวพรรณที่ดี สดใส เปล่งปลั่ง และอ่อนเยาว์ได้นั่น ไม่ใช่เรื่องยากเลยสักนิด เพียงแค่เรามีวิธีการดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอและถูกวิธี เท่านี้ผิวของคุณก็สามารถสวย ใส ได้ตามใจที่อย่างที่คุณต้องการแล้ว แต่จะมีขั้นตอนการดูแลผิวยังไงกันบ้าง มาดูกันเลย

การทำความสะอาดผิว

การล้างหน้าที่ถูกวิธีไม่ใช่เพียงแค่ล้างให้รู้สึกว่าหน้าสะอาดเท่านั้น แต่ควรล้างหน้าด้วยความระมัดระวัง โดยที่ไม่ทำให้ผิวหน้าเกิดการระคายเคือง หรือทำให้ผิวหน้าต้องสูญเสียความสมดุลที่มีไป และที่สำคัญก่อนที่จะเข้านอนทุกครั้งการชำระล้างทำความสะอาดผิวหน้าคือสิ่งสำคัญมาก เพราะหากเราปล่อยปะละเลยในการทำความสะอาดนี้ สิ่งสกปรกต่างๆจากมลพิษที่เกาะติดบนผิวหน้าและรูขุมขน จะส่งผลทำให้ผิวเกิดการอักเสบ รูขุมขนกว้าง ผิวน้าไม่เนียบเรียบ เกิดความหมองคล้ำ หรือทำใ้เกิดเป็นสิวได้

การทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิว

การทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะช่วยให้ผิวของเรานั้นเปล่งปลั่ง ขาวใส เนียบเรียบ มีสุขภาพผิวที่ดีแล้ว ยังช่วยในเรื่องของการเพิ่มความชุ่มชื้น ลดความแห้งกร้าน ยังมีวิตามินและสารสกัดต่างๆมากมายที่มีประโยชน์ต่อผิว ที่ช่วยในเรื่องของการเสริมสร้าง บำรุง ซ่อมแซมเซลล์ผิวของเราให้กลับมาแข็งแรง มีความยืดหยุ่นเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมากที่สุดคือ หลังอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ เพราะเนื้อครีมจะสามารถซึมซาบได้เร็วและดีกว่าช่วงเวลาอื่นๆทั่วไป

การทาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด

รังสียูวี คือ ปัจจัยสำคัญที่ทำลายเซลล์ผิวหนัง ทำให้ผิวหนังของเรานั้นเกิดเป็น ฝ้า กระ จุดด่างดำ เกิดความหมองคล้ำต่างๆเกิดขึ้น เราจึงควรทาครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกไปเผชิญแสงแดดด้านนอก 15 นาที และทาครีมกันแดดซ้ำทุกๆ 2 ช.ม หากต้องยืนกลางแจ้งหรือตากแดดเป็นเวลานานๆ

เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิวหน้า

การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับผิวหน้า จะช่วยให้ผิวได้รับการบำรุงอย่างเหมาะสมและได้รับการดูแลอย่างตรงจุด ทำให้ผิวได้มีการฟื้นตัวดีและเร็วยิ่งขึ้น แถมยังช่วยลดปัญหาการเกิดการแพ้ การระคาย การอับเสบของผิวอีกด้วย 

การดูแลสุขภาพร่างกาย

การนอนหลับ ถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนที่ดีที่สุด เพราะร่างกายจะใช้เวลาในช่วงนี้ทำการซ่อมแซมเซลล์ผิวหนังหรือฟื้นฟูอวัยวะที่สึกหรอของร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนของร่างกายให้คงที่ การนอนหลับอย่างเพียงพอจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยทำให้ผิวพรรณของเราสดใสได้




วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

สาเหตุ และ การรักษา รอยหมองคล้ำรอบดวงตา


รอยดำคล้ำใต้ตานั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย หากสังเกตุดีๆแล้วจะพบว่ายิ่งเรามีอายุที่เพิ่มมากขึ้นเท่าไร รอยคล้ำดำต่างๆเหล่านี้ก็ยิ่งมีเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน เนื่องจากรอยคล้ำใต้ตาเกิดได้จากหลายสาเหตุ และแต่ละสาเหตุก็มีวิธีการรักษาที่แตกต่างกันออกไป



รอยคล้ำดำใต้ตานั้นเกิดขึ้นได้ยังไง

การสร้างเม็ดสีบริเวณผิวหนังใต้ตาเพิ่มขึ้น

มักพบในภาวะรอยดำที่เกิดตามหลังการอักเสบในผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้ที่ผิวหนังเรื้อรัง (atopic dermatitis) หรือจากการแพ้สัมผัสสารต่างๆ (allergic contact dermatitis) เราสามารถรักษารอยคล้้ำใต้ตานี้ได้ด้วยการใช้ครีมที่มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสี เช่น ไฮโดรควิโนน Arbutin, Licorice, Kojic หรือครีมที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ หรือสามารถใช้เลเซอร์ที่กำจัดเม็ดสีที่ทำให้รอยคล้ำดำต่างๆใต้ตาจางลงได้

ผิวหนังบริเวณใต้ตาบาง หรือ มีชั้นไขมันใต้ผิวหนังบริเวณนั้นบางลง

ในช่วงเวลาที่มีประจำเดือน รอยคล้ำใต้ตานี้จะเห็นชัดมากบริเวณด้านหัวตา เกิดขึ้นจากเส้นเลือดใต้ผิวหนัง สามารถรักษาได้ด้วยเลเซอร์กำจัดเส้นเลือด หรือการฉีดสารเติมเต็มเพื่อทำให้ผิวหนังดูหนาขึ้น แต่ไม่สามารถรักษาได้โดยการทายา 

ผิวหนังใต้ตาหย่อนทำให้เกิดเงาดำขึ้นตรงบริเวณใต้ตา

เกิดจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น เพราะจะพบรอยเหี่ยวย่นบนบริเวณรอบดวงตานี้ปะปนอยู่ด้วย สำหรับใครที่เป็นมากหน่อยอาจมีถุงใต้ตาร่วมอยู่ การรักษารอยคล้ำดำใต้ตานี้สามารถรัาษาได้โดยใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น เลเซอร์ คลื่นความถี่วิทยุ เพราะการรักษาด้วยวิธีนี้จะทำให้ผิวหนังใต้ตากระชับขึ้น หรือการรักษาโดยการฉีดสารเติมเต็มเพื่อทำให้ร่องน้ำตาตื้นขึ้นนั้นเอง ในรายที่เป็นมากๆหรือมีถุงใต้ตาขนาดใหญ่ อาจต้องรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด


สาเหตุที่ทำให้ขอบตาดำคล้ำ

กรรมพันธุ์ ที่ถูกถ่ายทอดมาจากพ่อแม่ หรือญาติพี่น้อง
การพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้เกิดการไหลเวียนของเลือดไม่ดี สารอาหารในเลือดลดลง
เกิดการระคายเคือง เช่น แพ้สารต่างๆ หรือการขยี้ตาแรงๆ ทำให้ตาบอบช้ำ
การทานอาหาร ยา สารพิษ จะทำให้มีภาวะการเป็นกรดเพิ่มมากขึ้น ภาวะของตับและไตทำงานบกพร่อง
อาการขาดน้ำ จะทำให้ตาเกิดการแห้ง ขาดน้ำมาล่อเลี้ยง เกิดระคายเคืองรอบดวงตา 
ปานโอตะ คือ คนที่มีเซลล์เม็ดสีที่อยู่ในชั้นหนังแท้เกิดขึ้นบริเวณผิวหนังรอบดวงตา มักเกิดขึ้นเพียงข้างเดียว แต่สำหรับบางคนอาจเกิดขึ้นทั้งสองข้าง
ภูมิแพ้ เป็นสาเหตุที่ทำให้เส้นเลือดดำขยายใหญ่กว่าปกติ ทำให้เกิดรอยดำคล้ำใต้ด้วงตาเกิดขึ้น


การดูแลรักษาผิวหนังบริเวณรอบดวงตาเบื้องต้น

  • การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงที่ก่อให้เกิดริ้วรอย รอยหมองคล้ำ โดยการพักผ่อนให้เพียงพอ เมื่อต้องใช้สายตาในการอ่านหนังสือนานๆ จองคอมพิวเตอร์นานๆ ควรมีการพักผ่อนสายตาเป็นพักๆอยู่เสมอ
  • การบำรุงด้วยการทายา โดยควรเลือกใช้ครีมหรือเจลที่มีส่วนผสมของม้อยเจอร์ไรเซอร์ เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ใช้ยาที่มีสารการบำรุงของกลุ่ม วิตามินเอ และ วิตามินซี ทารอบดวงตา เพื่อช่วยบำรุงผิวหนังบริเวณรอบดวงตาไม่ให้เกิดริ้วรอยก่อยวัย
  • ไม่ขยี้หรือถูตาแรงๆ
  • สวมแว่นกันแดดและทาครีมกันแดดทุกครั้งเมื่ออยู่กลางแจ้ง
  • อย่าพยายามถูหรือดึงผิวหนังรอบดวงตา เพราะจะทำให้ความยืดหยุ่นของผิวลดลง
  • นำแตงกวามาล้างให้สะอาด แล้วหันเป็นแว่นบางๆ จากนั้นนำมาปิดทับลงบนเปลือกตา ทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วค่อยหยิบออก จะช่วยให้ผิวรอบดวงตาชุ่มชื้นและริ้วรอยรอบดวงตาดูจางลง



วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

รวมเด็ดเคล็บลับที่ช่วยทำให้หน้าอกขยายใหญ่ขึ้น โดยไม่พึ่งศัลยกรรม ++


รู้หรือไม่ว่า !! ไม่ใช่แค่เพียงการทำศัลยกรรมเท่านั้นที่จะช่วยให้หน้าอกของเราขยายใหญ่ขึ้นได้ แต่ยังมีอีกหลายต่อหลายวิธี ที่สามารถช่วยเพิ่มขนาดของหน้าอกของเราให้ขยายใหญ่ขึ้น โดยไม่ต้องไปยอมเสี่ยงหรือยอมลงทุนเจ็บตัวถึงขนาดไปทำศัลยกรรมนั้นเลย ซึ่งวิธีที่ว่านี้ก็คือ การทานอาหารที่ช่วยบำรุงทรวงอก และ การบริหารกล้ามเนื้อบนบริเวณหน้าอกนั้นเอง 


การทานอาหารที่ช่วยบำรุงหน้าอก

ถั่วทุกชนิด และ นมถั่วเหลือง ล้วนเป็นสารอาหารที่อุดมไปด้วย โปรตีน วิตามินบี วิตามินอี และสาร linolenic acid ที่ช่วยบำรุงให้หน้าอกขยายใหญ่ขึ้น เต่งตึงขึ้น พร้อมทั้งยังสามารถช่วยชะลอการหย่อนคล้อยของหน้าอก

จมูกข้าวสาลี เป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ช่วยในเรื่องของกรหมุนเวียนของเลือดในร่างกาย ช่วยในเรื่องของการขยายหน้าอกให้ใหญ่

งาขาว และ งาดำ มีคณสมบัติช่วยเสริมสร้างให้หน้าอกมีการเจริญเติบโตที่ใหญ่ขึ้น และยังช่วยบำรุงรังไข่ให้มีความแข็งแรง

ปีกไก่ เป็นแหล่งรวมโปรตีนที่ดีต่อร่างกาย อีกทั้งยังอุดมไปด้วย คอลลาเจน 

ไข่ มีโปรตีน วิตามินเอ วิตามินบี และวิตามินอี ที่ช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อของทรวงอกที่เสื่อมสลายให้กลับมามีสุขภาพดีได้ และยังช่วยให้หน้าอกขยายใหญ่ขึ้น

น้ำมะพร้าว ถือเป็นแหล่งเอสโตรเจนชั้นยอดเลยก็ว่าได้ ยิ่งถ้าเรามีการบริโภคมากเท่าไร ยิ่งมีโอกาสทำให้หน้าอกของเราสามารถขยายใหญ่ขึ้นได้มากขึ้น เพราะเอสโตรเจน คือ ฮอร์โมนในเพศหญิง


การนวดบริหารเสริมสร้างหน้าอก

1. เทโลชั่น ออย หรือน้ำมัน ลงบนฝ่ามือ ใช้นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนาง ทาครีมให้รอบเต้านม โดยเว้นบริเวณหัวนมไว้
2. ใช้มือซ้ายนวดที่เต้าขวา โดยให้นวดวนเป็นวงกลม เริ่มจากด้านข้างลำตัว วนเข้าด้านใน เมื่อวนถึงใต้หน้าอกให้พยายามช้อนหน้าอกขึ้นทุกครั้ง ทำแบบนี้ 20 ครั้ง หลังจากนั้นสลับใช้มือขวาไปนวดเต้าซ้าย โดยใช้วิธีการนวดเหมือนกัน
3. วางมือซ้ายบนหน้าอกด้านขวาเหนือหัวนม แล้วกดปลายมือมือนวดขึ้นไปด้านบนประมาณ 20 ครั้ง จากนั้นให้เปลี่ยนไปทำอีกข้างในจำนวนเท่ากัน
4. โกยนมจากฐานเต้านม เริ่มจากด้านบน ล่าง ซ้าย และขวามายังจุดกึ่งกลางบริเวณหัวนม ทำแบบนี้ข้างละ 20 ครั้ง


การบริหารกล้ามเนื้อช่วงหน้าอก

1. ยืนตัวตรงใช้มือทั้งสองข้างถือดัมเบล โดยเลือกขนาดน้ำหนักของดำเบลให้พอดีมือ กางขาออกให้ได้ระดับตรงกันกับหัวไหล่ ย่อเข่าเล็กน้อย จากนั้นยืดแขนตรงไปด้านหน้าสลับกันไปมาซ้ายขวา 40-50 ครั้ง
2. ยืนตัวตรง กางขาออกเล็กน้อย มือทั้งสองข้างถือดัมเบล จากนั้นกางแขนออกข้างลำตัวทั้งสองข้าง ค่อยๆชูดัมเบลขึ้นเหนือศีรษะโดยเหยียดแขนตรง ยกขึ้นบนลงล้างคล้ายๆรูปครึ่งวงกลม 40-50 ครั้ง
3. นอนคว่ำกับพื้น ขาขาดเหยียดตรงห้ามติดพื้น ยืดแขนทั้งสองข้างมาด้านหน้าแล้วดึงกลับ พร้อม ๆ กับยกหน้าอกขึ้น ตามจังหวะที่ดึงแขนมาด้านหลัง ทำแบบนี้ 50 ครั้ง



อยากมีผิวขาว ควรทำอย่างไร


ผิวดำ คล้ำ เกิดขึ้นได้อย่างไร

ผิวดำ คล้ำ สามารถเกิดขึ้นได้จากทั้งจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก

ปัจจัยภายใน คือ ดำจากกรรมพันธุ์ 
ปัจจัยภายนอก คือ ดำจากสภาพแวดล้อม เช่น แสงแดด แสงไฟ ความร้อน ฝุ่น ควัน ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้คือตัวที่เข้าไปทำให้ผิวของเรานั้นเกิดการเสื่อมสภาพ และ กระตุ้นให้ร่างกายของเราเกิดการสร้างของเม็ดสีขึ้นมา 

เม็ดสีเมลานิน คือ อะไร

เมลานิน คือ ตัวที่ทำให้เรามีสีผิวเราต่างกัน ในผิวหนังของคนเรานั้นจะประกอบไปด้วยเมลาโนไซต์ ( melanocyte ) โดยภายในของเมลาโนไซต์นั้นจะมีเมลานิน ( melanin ) ซึ่งอยู่ในเมลาโนโซม ( melanosome ) อีกที โดนเมลาโนโซมนั้นจะทำหน้าที่ผลิตเมลานินขึ้นมา และเมลาโนไซต์จะเป็นตัวส่งผ่านเม็ดสีเมลานินไปยังเคราติโนไซต์ ( keratinocyte ) หรือชั้นขี้ไคล นี่คือตัวที่ทำให้สีผิวของเรานั้นเกิดขึ้นมา

เมลานิน มีด้วยกันอยู่ 3 แบบ คือ
  • Eumelanin เม็ดสีดำ น้ำตาล เม็ดสีเหล่านี้จะอยู่ในกลุ่มคนที่มีสีผิว คล้ำ
  • Pheomelanin เม็ดสีเหลือง แดง เม็ดสีเหล่านี้จะอยู่ในกลุ่มคนที่มีสีผิว ขาว 
  • Xixed-melanin มีเม็ดสีของ Eumelanin กับ Pheomelanin รวมอยู่ด้วยกัน เม็ดสีเหล่านี้จะอยู่ในกลุ่มที่มีผิวสีน้ำผึ้ง

ทำอย่างไรให้ผิวที่ดำ คล้ำ เปลี่ยนมาเป็นผิวที่ขาวนียน สว่าง สดใส 

ปัจจุบันได้มีการผลิต ผลิตภัณฑ์ต่างๆขึ้นมามากมาย เพื่อใช้สำหรับบำรุง ดูแล และปกป้องผิว ให้ ขาว เนียน ใส กระชับ ดูมีออร่า รวมไปถึงการรักษาทางการแพทย์อีกหลากหลายวิธี ที่จะช่วยให้ผิวของลูกค้านั้น ขาว ใส ได้ตามใจ และ ทันใจตามที่ต้องการ

มาดูกับดีกว่าว่าอะไรบ้างที่ช่วยให้ผิวของเราเนียนเรียบ และ ขาวใสขึ้นได้จริง แต่ไม่เป็นอันตรายต่อผิว

การใช้ผลิตภัณฑ์

ควรมีผลิตภัณฑ์ในการดูแลผิว 1-2 ตัว คือ

1. ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่างๆที่มีส่วนผสมของ คอลลาเจน วิตามินเอ วิตตามินบี วิตามินซี เป็นต้น ให้ทาเป็นประจำทุกวันหลังอาบน้ำเสร็จ ทั้งเช้าและก่อนนอน

2. ผลิตภัณฑ์ป้องกันแดด หลังทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเสร็จ ให้ทาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด ที่มีค่า SPF 30 และมีคุณสมบัติป้องกันผิวทั้งจากรังสี UVA และ UVB ควรทาเป็นประจำทุกวัน หรือหากวันไหนต้องเจอกับแสงแดดเป็นเวลานานๆ สามารถทาได้ทุกๆ 2 ชม.

อาหารเสริม

วิตตามินซี มีบทบาทสำคัญในการสร้าง คอลลาเจน เพื่อช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกาย กินวันละ 1 เม็ด ตอนตื่นนอน หรือกินควบคู่กับอาหารเสริมอื่นๆเป็นประจำทุกวัน จะช่วยให้ผิวของเราขาว ใส เห็นผลได้เร็วขึ้น

คอลลาเจน เป็นสารตั้งต้นในการสร้างโปรตีนทุกชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย หากทานเป็นประจำจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่เส้นใยผิว ช่วยเติมเต็มเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้กลับมาดีขึ้น ทำให้ผิวพรรณเต่งตึง กระจ่างใส มีสุขภาพดี

สมุนไพร

สูตร 1.นำมะขามเปียก ขมิ้น และน้ำผึ้ง มาผสมให้เข้ากัน จากนั้นนำมาพอกลงบนผิวให้ทั่ว ค่อยๆขัดนวดอย่างเบามือ เมื่อขัดเสร็จแล้วให้พอกตัวทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที จากนั้นล้างออกให้สะอาด เช็ดตัวให้แห้งแล้วทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวตามทันที ทำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง 

สูตร 2. นำขมิ้นสดไปปลอกเปลือกแล้วล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นนำไปตำให้ละเอียด ผสมกับนมสดลงไปเล็กน้อยนำมาขัดวนผิวเบาๆให้ทั่ว เสร็จแล้วพอกตัวทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที ล้างออกให้สะอาด ทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง

ข้อควรระวัง และหลีกเลี่ยง

1. หลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดจ้า หรืออยู่กลางแสงแดดเป็นเวลานาน
2. หลีกเลี่ยงการปะทะกันระหว่างผิวกับแสงแดดโดยตรง ควรสวมเสื้อผ้าที่ปกคลุมผิวให้ทั่วก็ออกแดด และความสวมหัว แว่นตา หรือกลางร่มด้วย
3. ห้ามลืมหรือผลัดการทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด เด็ดขาด