วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ริ้วรอยต่างๆบนใบหน้าสามารถจางหายได้ ด้วยเนื้อมะขามเปียก

อยากหน้าเนียนใส แบบไร้ริ้วรอย ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะเรามีเคล็ดลับดีๆจากธรรมชาติ ที่สามารถช่วยรักษาและลดเลือนริ้วรอยต่างๆที่มีให้จางลงได้ ด้วยวิธีประหยัด ปลอดภัย ได้ผล และยังช่วยให้ผิวใสขึ้นอีกด้วย


มะขามเปียก คือ สมุนไพรธรรมชาติชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติที่ช่วยในเรื่องลดสิวและริ้วรอยต่างๆบนผิวพรรณได้ เพราะเนื่องจากในมะขามเปียกนั้นอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและผิวพรรณอย่างเช่น วิตามินซี วิตามินบี2 วิตามินเอ แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก โปรตีน คาร์โบไฮเดรต เป็นต้น ที่สามารถช่วยในการผลัดเซลล์ผิวเก่า กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ จึงทำให้ผิวกลับคืนสู่สภาพของความอ่อนเยาว์ขึ้นได้อีกครั้ง

สูตรบำรุงผิวสวย หน้าใส แบบไร้ริ้วรอย



วิธีที่ 1
ให้นำเนื้อมะขามเปียกมาคั้นจนเป็นเนื้อเหลวๆใส่ลงไปในถ้วย ส่วนกากที่ได้ให้นำเอาไปทิ้ง
จากนั้นเติมน้ำอุ่นใส่ลงไปในเนื้อมะขามเปียกเล็กน้อย
นำผ้าขาวบางมาลองอยู่บนภาชนะใบใหม่อีกใบ แล้วตักเนื้อมะขามเปียกที่มีใส่ลงไปในผ้า
หลังจากนั้นให้ใช้ผ้าคั้นเอาน้ำที่มีออกให้เหลือแต่เนื้อมะขามเปียก
และให้นำเนื้อมะขามเปียกที่ได้มาผสมใส่กับน้ำผึ้ง
จากนั้นล้างหน้าให้สะอาดและนำมะขามเปียกที่ผสมไว้มาพอกหน้า 15 นาที
เมื่อครบตามเวลาให้ล้างออกโดยใช้น้ำอุ่น

วิธีที่ 2
นำมะขามเปียกมาล้างน้ำให้สะอาดแล้วแกะเอาเม็ดออก 
จากนั้นให้นำนมมาผสมแล้วขยำให้เข้ากัน 
แล้วกรองด้วยผ้าขาวบางหรือกระชอนตาละเอียด 
เติมน้ำผึ้งใส่ผสมลงไปและคนให้เข้ากัน และนำสิ่งที่ได้ใส่ภาชนะที่มีฝาปิดเก็บไว้ในตู้เย็น 
เตรียมผิวโดยการล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด แล้วนำมะขามเปียกในตู้เย็นมาทาทิ้งไว้ 10 นาที และล้างออก



ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า
LYONESSE ALP ROSE ANTI-AGING ADVANCED SERUM

เซรั่มบำรุงผิวหน้าที่มีเนื้อบางเบา ที่อุดมไปด้วย Stem Cell สกัดจากใบกุหลาบบนเทือกเขาแอลป์ จะช่วยเพิ่มพลังชีวิตให้กับ Stem Cell ของผิวชั้นนอกให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เสริมการสร้างผิวชั้นนอก ทำให้ผิวมีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น ช่วยให้ผิวสามารถรับมือกับอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลงได้ดี ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ลดการอักเสบ ระคายเคือง และช่วยฟื้นฟูสภาพผิวที่เสียหายจากการถูกทำลายโดยแสงแดดหรือสารเคมีต่างๆ ,

วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

Salicylic Acid (BHA) กับการช่วยรักษาสิว ผิวขาวอย่างเป็นธรรมชาติ

Salicylic Acid (BHA)

ถ้าพูดถึงสิวแล้วเชื่อได้ว่าคงจะเป็นปัญหาหนักใจของใครหลายๆคนเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะสร้างความเจ็บปวดให้กับเราในเวลาที่เป็นแล้ว หลังจากที่สิวยุบตัวลงแล้วยังจะทิ้งริ้วรอยไว้ให้เจ็บใจอีก เป็นปัญหาอันต่อไปที่เราจะต้องหาวิธีแก้กันอีก เราจึงอยากจะแนะนำให้รู้จักกับ Salicylic Acid เป็นสารที่อยู่ในกลุ่ม BHA เป็นสารที่ใช้ในการช่วยรักษาสิว ทำให้ผิวเรียบเนียน และดูกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ หลายคนอาจจะไม่รู้จักและไม่ค่อยคุ้นหูกับเจ้าตัวนี้เท่าไรนัก เรามาทำความรู้จักกับ Salicylic Acid ว่ามันคืออะไร และมีความสามารถช่วยรักษาสิวได้อย่างไรบ้าง มาดูกันเลย

Salicylic Acid คืออะไร?

BHA หรืออีกชื่อคือ Salicylic acid ในกลุ่มที่ช่วยละลาย Keratin (โปรตีนที่เป็นส่วนประกอบของผิวชั้นนอก ผม และเล็บ) ใช้รักษาโรคผิวหนังที่มีผื่นหนา เป็นขุยใช้ใน Chemical peeling เพื่อลดเลือนริ้วรอย และรักษาสิว BHA จากฤทธิ์โดยไปทำให้ Keratin ที่แข็งนุ่มลง ทำให้ผิวที่แห้งเป็นขุยหลุดออกง่าย และลดการอักเสบในสิว BHA ช่วยให้การหลุดลอกของเซลล์เยื่อบุในรูขุมขนช้าลง ป้องกันการอุดตัน และช่วยสลายสิวอุดตันทั้งสิวเสี้ยนชนิดหัวดำและหัวขาว รวมทั้งลดการอักเสบของสิวอักเสบ

ความสามารถของ Salicylic Acid

Salicylic Acid นั้นมีสรรพคุณช่วยลอกผิวชั้นบนของเราได้เป็นอย่างดี หรือที่เรานิยมเรียกว่าการผลัดเซลผิว ซึ่ง Salicylic Acid นั้นมันจะลาลายได้ดีในน้ำมัน และผิวหน้าของเรามีน้ำมันที่รูขุมขนสร้างมาเพื่อใช้รักษาความชุ่มชื้นของผิวทำให้ Salicylic Acid มันสามารถเข้าไปช่วยกำจัดสิ่งอุดตันที่อยู่ในรูขุมขนของเราได้เป็นอย่างดี และด้วยความสามารถนี้เองที่ทำให้ Salicylic Acid สามารถเข้าไปในชั้นผิวที่ลึกได้กว่า AHA เนื่องมาจาก AHA มันละลายในน้ำได้ดีกว่า ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้รักษาสิวอุดตันนิยมผสม Salicylic Acid เข้าไปด้วยนั่นเอง

ความเข้มข้น Salicylic Acid ที่เหมาะสม

โดยปกติแล้วความเข้มข้นของ Salicylic Acid ที่นิยมผสมในเครื่องสำอางค์ต่างๆจะอยู่ที่ 1-2% ซึ่งเป็นความเข้มข้นที่เหมาะสมกับสภาพผิวของมนุษย์ปกติอย่างเรา ทำไมต้องบอกว่าเหมาะกับมนุษย์ปกติ ก็เพราะว่าความจริงแล้วเราสามารถใช้ Salicylic Acid ได้มากว่า 1-2% คือ สามารถใช้ไดสูงถึง 10-20% ทีเดียว ซึ่งหมอมักจะใช้รักษาคนไข้ที่มีปัญหาโรคผิวหนัง เช่น เป็นหูด ตาปลา เป็นต้น

Salicylic Acid หรือ BHA กับการรักษาสิว

หากพูดถึง Salicylic Acid ในการรักษาสิวนั้น Salicylic Acid หรือ BHA จะมีสรรพคุณในการรักษาสิวอุดตันและรอยแผลสิว หรือจุดด่างดำจากสิวได้ดี ก็อย่างที่บอกไว้ว่า Salicylic Acid นั้นมันละลายได้ดีในน้ำมัน มันจึงสามารถเข้าไปชอนไชขจัดสิ่งสกปรกที่อยู่ในรูขุมขนของเราได้ดี นอกจากนี้ Salicylic Acid ยังมีฤทธิ์ที่ช่วยผลัดเซลผิวชั้นบนของเราให้หลุดลอกออกไปก่อนเวลาอันควร ซึ่งนอกจากจะช่วยป้องกันการอุดตันของสิวแล้ว ยังมีผลทำให้รอยสิว จุดด่างดำจากสิวดูจางลงได้อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นยารักษาสิวอุดตันชั้นดีอีกตัวหนึ่งเลยทีเดียว

ข้อจำกัดในการใช้ Salicylic Acid หรือ BHA
  • ข้อห้ามสำหรับ BHA คือ ห้ามทาบริเวณรอบดวงตา ริมฝีปาก ในจมูก หรือบริเวณที่ผิวบอบบาง เช่นจุดซ้อนเร้นรวมทั้งบริเวณผิวที่อักเสบ ติดเชื้อ
  • ผลข้างเคียง ส่วนใหญ่มีอาการคันยิบๆบริเวณที่ทา จึงควรทาเฉพาะบริเวณที่เป็นสิวเท่านั้น (หากมีอาการดังกล่าว ควรล้างออก หรือเลือก%ควรเข้มข้นลดลง) คนที่แพเBHA (Salicylate Allergy) พบได้แต่น้อยจะมีอาการแสบคันมากหลังทา (ส่วนใหญ่จะมีอาการแพ้ Aspirin หรือยาสีฟันที่มีรสเป็นซ่าร่วมด้วย)
  • ข้อควรระวัง ไม่ควรใช้ BHA ร่วมกับยาทาสิวพวก Benzyl Peroxide และ Retinoid โฟมที่มีสคลับ และการขัดผิว

BHA หรือ Salicylic acid นั้นถือเป็นสารที่ช่วยในการรักษาสิวที่ได้ผลดีโดยเฉพาะสิวอุดตัน ปลอดภัยและระคายเคืองน้อยเมื่อเทียบกับยาทาสิวตัวอื่นๆที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน

วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

หน้าเนียนใสปิ๊งได้ในเวลา 15 นาที ด้วยมะเขือเทศลูกเดียว

วันนี้เราจะมาแนะนำวิธีง่ายๆที่สามารถช่วยให้ผิวหน้าที่คล้ำเสียกลับมาสดใสได้ในเวลาสั้นๆ สำหรับสำหรับสาวคนไหนที่มีผิวหน้ามัน หมองคล้ำ ไม่สดใส อยู่ในขณะมาลองเอาวิธีนี้ไปใช้ได้เลย รับลองไม่ผิดหวังแน่นอน



ด้วยคุณค่าและคุณสมบัติของเจ้ามะเขือเทศผลแดงๆ 1 ผล รู้ไหมคะว่ามันมีประโยชน์และสรรพคุณที่หลายอย่างมากมายจนนับไม่ถ้วน

มะเขือเทศ (Tomato) ชื่อในทางวิทยาศาสตร์ Lycopersicon Esculentum Mil  จัดเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่มีผู้คนนิยมมากที่สุดในโลก เพราะในมะเขือเทศมีวิตามินซีในปริมาณที่มาก ซึ่งวิตามินซีเหล่านั้นเป็นสารตั้งต้นของคอลาเจนที่มีส่วนในการดูแลฟื้นฟูผิวให้กลับมาสดใสเต่งตึง และยังช่วยให้ผิวขาวอมชมพูมาจากข้างใน นอกจากมะเขือเทศยังมีวิตามินซีที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพผิว แล้วยังมีสาร Licopersioin ซึ่งมีฤธิ์ในการทำลายเชื่อแบคทีเรียซึ่งเป็นเชื่อที่ก่อให้เกิดสิวอย่างมีประสิทธิภาพ

เนื่องจากในเนื้อและน้ำของมะเขือเทศที่อุดมไปด้วยสารบริสุทธิ์และวิตามินต่างๆที่มากมาย จึงทำให้เราสามารถนำสิ่งเหล่านี้มาช่วยเพิ่มและรักษาความงามให้กับผิวของเราได้นั้นเอง

สูตรผิวสวยด้วยมะเขือเทศ

  • ผ่ามะเขือเทศออกเป็น 2 ซีก แล้วใช้ซีกที่เป็นเนื้อด้านในมาถูวนให้ทั่วผิวหน้า จากนั้นปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างหน้าให้สะอาดด้วยน้ำเย็นจัด ทำเป็นประจำทุกวันก่อนนอน เนื่องจากมะเขือเทศมีวิตามินเอและวิตามินซีสูง จึงสามารถรักษาสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • นำมะเขือเทศมาปั่นรวมกับโยเกิร์ต จากนั้นนำมาพอกหน้าให้ทั่วแล้วปล่อยทิ้งไว้ 30 นาที ทำเป็นประจำทุกสัปดาห์ สูตรนี้จะช่วยคืนความเปล่งปลั่งให้แก่ผิวหน้า
  • น้ำมะเขือเทศมาคั้นเอาแค่เพียงน้ำ จากนั้นนำน้ำมะเขือเทศมาทาให้ทั่วผิวเป็นประจำทุกวัน จะุช่วยให้ความมันที่มีอยู่ผิวหน้าลดลงได้
  • นำเนื้อมะเขือเทศมาคั้นให้เละๆ แล้วนำมาวางพอกทิ้งไว้ที่ใบหน้า 15 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำเปล่า ทำเป็นประจำจะทำให้หน้าเนียนใส อมชมพู

เพียงเท่านี้เราก็สามารถปรับผิวเสียให้กลับมาเป็นผิวใสได้ง่ายๆ แถมยังสามารถทำได้บ่อยและยังไม่เป็นอันตรายต่อผิวอีด้วย หากเพื่อนๆคนไหนมีเวลาว่างก็อย่าลืมลองเอาวิธีดูแลผิวเหล่านี้ไปใช้ดูนะคะ


LYONESSE  
serum & whitening

2 ตัวช่วยเพื่อผิวหน้าขาวสว่างกระจ่างใส นวัตกรรมใหม่ล่าสุดของการบำรุงผิว เพื่อผิวที่เนียนนุ่ม ขาวใส อมชมพู ดุจแก้มเด็ก
โดยคัดสรรค์ส่วนผสมที่มีคุณสมบัติ์พิเศษสามารถเพิ่มพลังอายุไขของผิวให้แข็งแรงขึ้น ปรับตัวต่อสภาวะและให้การปกป้องที่ดีขึ้นแก่ผิว เมื่อต้องเจอกับสภาพอากาศสิ่งแวดล้อมที่โดนทำร้ายต่างๆ อีกทั้งยังช่วยชะลอขบวนการเสื่อมสลายของเซลล์ตามธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิ์ภาพ 

โดยมีใบรับลองจากแพทย์แล้วว่า อ่อนโยน ปลอดภัย ไร้สารอันตรายใดๆ ที่ทำให้ผิวของคุณบอบช้ำ หรือทำร้ายผิวของคุณอย่างแน่นอน คุณจึงมั่นใจได้ว่าผิวของคุณจะสวยใส แข็งแรง และยังมีมีสุขภาพดีได้อย่างไร้กังวน

วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

6 สาเหตุที่ทำให้สิวรักษาไม่หายขาดสักที

สำหรับใครที่รักษาสิวด้วยตนเองหรือว่าไปหาหมอตามคลีนิคแล้ว สิวที่เป็นอยู่ก็ยังคงขึ้นมาซ้ำซาก รักษายังไงก็ไม่หายขาดสักที ซึ่งสิวต่างๆที่เกิดขึ้นนี้อาจเกิดขึ้นจากสาเหตุดังนี้ก็ได้



สาเหตุที่ทำให้สิวรักษาไม่หายสักที

ผิวขาดน้ำ 
การที่ผิวหนังของเราจะมีความชุ่มชื่นที่เป็นปกติได้ ในชั้นขี้ไคลจะต้องมีน้ำมากกว่า 10% ของส่วนประกอบทั้งหมด เพื่อให้ผิวหนังชั้นขี้ไคลสามารถคงคุณสมบัติรักษาหน้าที่ต่างๆไว้ แต่ถ้าหากผิวสูญเสียคุณสมบัติเหล่านี้เพราะขาดน้ำ ขาดความชุ่มชื้น จากสาเหตุใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการอักเสบ ความแห้งของอากาศ การลอกของผิวชั้นหนังกำพร้า ก็จะส่งผลทำให้ผิวเกิดการสูญเสียสมดุล เมื่อผิวสูญเสียสมดุลก็จะส่งผลกระทบต่อผิวหนังในส่วนล้าง ทำให้เกิดผิวหนังที่แห้งมาก สารและเชื้อโรคต่างๆสามารถแทรกซึมเข้าสู่ผิวได้ง่าย ทำให้เกิดการแพ้และติดเชื่อได้ง่ายกว่าปกติ

การล้างหน้าบ่อยๆหรือแม้กระทั้งการล้างหน้าแรงๆ ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หน้าสูญเสียไขมัน ขาดความชุ่มชื้น และเกิดการระคายเคืองทำให้ผิวหน้าเกิดสิวมากขึ้น

สิ่งสกปรกและเชื้อแบคทีเรีย
โดยปกติแล้วผิวหนังของเรานั้นจะมีการผลิตน้ำมันตามธรรมชาติออกมาจากผิว เพื่อคงความชุ่มชื่น รักษาสมดุล และกักเก็บน้ำไม่ให้ระเหยออกจากผิวหนังของเราเอาไว้ และในช่วงขณะที่ไขมันกำลังผลิตน้ำมันออกมานั้นเอง ต่อมไขมันที่ใช้ในการระบายก็จะขยายใหญ่และเปิดกว้างขึ้น หากผิวหนังตรงบริเวณไหนที่มีสิ่งสกปรกหรือเชื้อแบคทีเรียที่ติดตามบริเวณของรูขุมขน หรือลอยมากับอากาศผสมเข้าไปในต่อมไขมันก็จะทำให้เกิดการอุดตัน เกิดการอักเสบ จนทำให้ผิวเกิดเป็นสิวขึ้นได้

ดังนั้นการรักษาความสะอาดจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก ไม่ใช้เฉพาะกับผิวหน้าแต่ต้องดูแลความสะอาดของสิ่งของที่อยู่โดยรอบด้วย เช่น ผ้าเช็ดหน้า/ตัว ที่นอน ปลอกหมอง ผ้าห่ม และความสะอาดภายในบ้านหรือที่อยู่อาศัย เป็นต้น

เครื่องสำอาง
สิวที่เกิดการจากใช้เครื่องสำอาง นั้นเกิดขึ้นได้จาก

  • สารที่ผสมอยู่ในเครื่องสำอางตัวใดตัวหนึ่งหรือมากกว่านั้น ที่ส่งผลทำให้เกิดการระคายเคืองของผิวเกิดขึ้น จนทำให้เกิดการอักเสบอย่างรวดเร็ว 
  • เครื่องสำอางบางตัวที่ใช้อยู่เกิดไปอุดตันบริเวณรูขุมขน ทำให้ไขมันหรือสิ่งต่างๆไม่สามารถระบายออกมาทางรูขุมขนได้ตามปกติ จึงทำให้เกิดเป็นสิวอักเสบ สิวหนองเกิดขึ้น

ความเคลียด
เมื่อคนเราเกิดความเครียดและความกดดัน ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนอดรีนาลินออกมามากกว่าปกติ และมีการสร้างฮอร์โมนคอร์ติโซล (CORTISOL) ออกมาร่วมด้วย ซึ่งทำให้มีการผลิตไขมันที่เพิ่มมากขึ้น จนทำให้เกิดเป็นสิวตามมาในที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นความเครียดยังมีผลต่อระบบภูมิต้านทานของร่างกายที่ทำให้ลดต่ำลง เมื่อมีการอักเสบเกิดขึ้่นเชื้อโรคที่ทำให้เกิดสิวจึงเจริญเติบโตและเกิดขึ้นได้ง่ายเป็นพิเศษ

ครีมกันแดด
ครีมกันแดดทุกชนิดจะมีส่วนผสมที่ทำหน้าที่ในการสะท้อนรังสี UV ซึ่งสารกันแดดเหล่านั้นมักจะเข้าไปอุดตันอยู่ที่บริเวณรูขุมขน ทำให้เกิดเป็นการอุดตันและให้กลายเป็นสิวอักเสบเกิดขึ้น

วิธีการป้องกัน คือ การล้างทำความสะอาดผิวหน้าทุกครั้ง ควรใช้คลีนซิ่งเช็ดทำความสะอาดผิวหน้าซะก่อน เพื่อช่วยดึงเอาสิ่งที่อุดตันที่เกาะติดตามบริเวณของผิวหน้าให้หลุดออกมาได้เพิ่มขึ้น และควรผลัดเซลล์ผิวอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อลดการอุดตันของผิวนั้นเอง

การทานอาหาร
อาหารบางอย่างทำให้สิวสามารถเกิดหรือเพิ่มจำนวนขึ้นได้ เช่น

  • คาร์โบไฮเดรตที่มีน้ำตาลสูง เพราะการทานอาหารที่อุดมไปด้วยน้ำตาลสูงๆ จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ส่งผลให้ตับอ่อนปั๊มอิซูลินเข้าไปในกระแสเลือด ทำให้เกิดการกระตุ้นการแบ่งเซลล์ของต่อมไขมันในร่างกาย จนเกิดการผลิตฮอโมนของเพศชายสูง เลยทำให้มีการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมันเพิ่มขึ้นไปอีก
  • นมและผลิตภัณฑ์จากนม เพราะในนมวัวมี โบไวน์ อินซูลินไลฟ โกรทเฟคเตอร์ และ สารตั้งต้นฮอโมนเพศชาย ชื่อ แอนโดรสตีนไดโอน เมื่อดื่มเข้าไปก็จะกระตุ้นการผลิตฮอโมนเพศชาย ซึ่งจะไปกระตุ้นต่อมไขมันให้ทำงานมากขึ้น


วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

มารู้จักกับ โจโจบาออยล์ (Jojoba Seed Oil) สารสกัดจากพืช

โจโจ้บาออยล์ Jojoba Oil

หลายคนคงรู้จักหรือคุ้นหูกับเจ้า "Jojoba Oil" เป็นอย่างดี อาจเป็นเพราะ Jojoba Oil นั้นได้รับความนิยมในการผสมรวมเข้ากับเครื่องสำอางค์ โฟมล้างหน้า หรือครีมทาผิวหลายชนิด หลายยี่ห้อ เพราะด้วยเหตุผลอะไรนั้นทำไมจึงต้องนำ โจโจบาออย์ล มาเป็นส่วนผสม วันนี้เรามีคำตอบมาให้หายสงสัยกัน มาทำความรู้จักกับเจ้า jojoba oil โจโจบาออยล์ กัน และมาดูว่าประโยชน์ที่ช่วยในการบำรุงผิวมีอะไรบ้าง...?

jojoba oil? โจโจบาออยล์คืออะไร

Jojoba คือ สารสกัดจากเมล็ดของต้นโจโจบา ต้นโจโจบามีผลเป็นเมล็ดกลมๆ สีน้ำตาล เมื่อผ่าออกมาจะเห็นครีมคล้ายขี้ผึ้งอยู่ข้างใน ส่วนนี้เองที่นำมาใช้สกัดเป็นน้ำมันบริสุทธิ์สิ่งที่น่าสนใจก็คือไม่ใช่ "น้ำมัน" เสียทีเดียว แต่คือ wax ester ( ester คือ สารประกอบอินทรีย์เกิดจากปฏิกิริยาของกรดกับแอลกอฮอล์) ในบรรดาสารสกัดจากธรรมชาติทั้งหมด wax ester ชนิดนี้มีลักษณะคล้ายน้ำมันของผิวมนุษย์เราที่สุด ในทางทฤษฎีการทา jojoba oil ลงบนผิวจะสามารถ "หลอก" ผิวของเราให้คิดว่ามีน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวเพียงพอแล้ว จึงส่งผลผิวสร้างสมดุลในการผลิตน้ำมัน สรุปง่ายๆก็คือว่า jojoba oil จะไม่ก่อให้เกิดสิวดังนั้นเราสามารถนำมาใช้ได้อย่างไม่ต้องกลัว

Jojoba oil มีสารคุณสมบัติเป็น Collagen ชนิดเดียวกับผิว ช่วยขจัดน้ำมันบนใบหน้าและสิวเสี้ยน สามารถนำไปล้างเครื่องสำอางบนใบหน้าได้ดีเยี่ยม และยังช่วยลดรอยแผลเป็นให้จางลงได้ ใช้บำรุงผิว ล้างเครื่องสำอาง และมีสารกันแดด spf = 4 ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหลายชนิดนำน้ำมันโจโจบามาเป็นส่วนผสมหลัก ไม่ว่าจะเป็น บอดี้ครีม บอดี้โลชั่น ลิปบาล์ม บาล์มบำรุงเล็บ เพราะน้ำมันโจโจบามีคุณสมบัติพิเศษคือ ไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นกับออกซิเจนในอากาศ จึงไม่มีกลิ่นเหม็นหืน และยังช่วยบำรุงให้ผิวชุ่มชื่น ช่วยโอบอุ้มน้ำใต้ผิวเปรียบเสมือนการสร้างเกราะป้องกันธรรมชาติให้ผิว จึงเหมาะที่จะนำไปผลิตเครื่องสำอางอย่างมาก

ประเภทของ Jojoba Oil
  • Jojoba Oil Golden
  • Jojoba Oil Golden คือ Jojoba Oil ที่สกัดแบบเพียวๆ คือไม่มีการตัดกลิ่นและสีออกจากตัวน้ำมันเลย ทำให้ Jojoba Oil แบบนี้จะมีความเข้มข้นสูง สีจะเป็นสีเหลืองทองเข้ม กลิ่นก็จะแรงกว่า และที่สำคัญ Jojoba Oil Golden นั้นจะมีวิตามินและกรดไขมันที่มากกว่า ซึ่งจะมีประโยชน์กับผิวของเรามากกว่า
  • Jojoba Oil Refined
  • Jojoba Oil Refined คือ Jojoba Oil ที่สกัดออกมาตรงข้ามกับ Jojoba Oil Golden คือ มันจะตัดกลิ่นและสีตามธรรมชาติของ Jojoba Oil ออกไปให้เหลือน้อยที่สุด ซึ่งทำให้ Jojoba Oil Refined นี้เหมาะกับการเอาไปผสมกับเครื่องสำอางหรือครีมต่างๆได้ดี เพราะไม่ทำให้สีและกลิ่นของผลิตภัณฑ์นั้นๆผิดเพี้ยนไปนั่นเอง และจากการที่มันถูกสกัดมากเกินไปก็ทำให้ Jojoba Oil Refined สูญเสียคุณสมบัติและประโยชน์บางอย่างของ Jojoba Oil ไป ซึ่งถ้ามองในเรื่องนี้ Jojoba Oil Refined เป็นรอง Jojoba Oil Golden แน่นอน 

  ประโยชน์ของโจโจ้บาออยล์ Jojoba Oil กับการบำรุงผิว
  • ช่วยลดเลือนเนื้อลายและรอยเหี่ยวย่น ช่วยให้รอยแผลเป็นจางลง
  • ช่วยให้ผิวสามารถกักเก็บน้ำหล่อเลี้ยงได้ยาวนานขึ้น
  • ทำให้สิวเสี้ยนหลุดออกและขจัดสิ่งสกปรกที่รูขุมขน จึงเหมาะสำหรับคนที่เป็นสิวและผิวหน้ามัน และปรับสภาพความเป็นกรดด่างบนผิวได้ดี
  • ปกป้องความชุ่มชื้นบนเส้นผมได้ดีเยี่ยม ให้ความรู้สึกไม่เหนอะหนะผิว กระจายตัวและดูดซึมได้ดีบนผิว
  • ไม่ระคายเคืองและเหมาะกับผิวแพ้ง่าย ในร่างกายคนเราสามารถผลิตน้ำมันที่มีลักษณะคล้ายโจโจ้บาได้เองตามธรรมชาติ แต่ปัจจัยที่ทำให้น้ำมันใต้ผิวลดลงขึ้นอยู่กับอายุ อากาศ สิ่งแวดล้อม มลภาวะ หรือแม้แต่ความเครียดก็มีส่วนทำให้น้ำมันใต้ผิวลดลงเราจึงต้องหาตัวช่วยที่ จะทำให้ผิวของเราชุ่มชื่นอยู่ตลอดเวลา
  • เมื่อใช้ทาผิวจะช่วยให้ผิวเนียนนุ่มขึ้น เนื่องจากโจโจ้บามีวิตามินอีที่ช่วยรักษาความชุ่มชื่นให้กับผิว และยังช่วยลดเลือนริ้วรอยได้อีกด้วย
  • โจโจ้บายังช่วยลดอาการอักเสบของผิวหนัง ช่วยให้เส้นผมแข็งแรง ช่วยขจัดรังแค ลดอาการคันศีรษะ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ในน้ำมันโจโจ้บา ยังมีแร่ธาตุทองแดง โครเมียม ไอโอดีน ซิลิคอน และสังกะสี นอกจากนั้นยังมีวิตามินอี และบีรวม ซึ่งล้วนแต่สำคัญสำหรับผิวพรรณ เส้นผม และเล็บ ผู้หญิงในแถบเม็กซิโกนำน้ำมันที่สกัดจากโจโจบามาบำรุงเส้นผมไม่ให้แห้งเสีย
เชื่อได้ว่าคงทำให้หลายๆคนหายสงสัยได้บ้างแล้ว กับคุณประโยชน์ของโจโจบาออย์ล Jojoba Oil กับการบำรุงผิว ว่ามันมีประโยชน์มากมายจริงๆ แถมยังเป็นสารสกัดที่ได้จากธรรมชาติอีกด้วย...มั่นใจได้เลยว่าปลอดภัย 100% อย่างแน่นอน..
โจโจ้บาออยล์ ช่วยบำรุงผิว

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

4 ผลไม้ที่กินแล้วช่วยให้ผิวสวย ใส สุขภาพดี มีเม็ดเลือดฝาดได้จริง

เคล็ดไม่ลับของตัวช่วยดีๆสำหรับคนที่อยากมีผิวเนียนใส อมชมพู

สำหรับสาวๆคนไหนที่อยากมีผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใส อมชมพู มีสุขภาพดี ตามแบบฉบับธรรมชาติให้มาแล้วละก็ ขอแนะนำวิธีนี้เลยกับ 4 ผลไม้ที่มีสรรพคุณที่ช่วยเน้นในเรื่องของการบำรุงผิวพรรณ ที่เมื่อกินเข้าไปแล้วสามารถช่วยบำรุงและทำให้ผิวของคุณดูเปล่งปลั่ง สดใส อมชมพูได้อย่างใจนึกคิด โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาไปเสี่ยงหรือไปเจ็บตัวให้ยุ่งยากอีกต่อไป


เรามาดูกันดีกว่าว่า ผลไม้ที่เต็มเปรี่ยมไปด้วยวิตามินที่สามารถช่วยบำรุงให้ผิวพรรณของเราให้เปล่งปลั่ง เนียนใส อมชมพู มีอะไรบ้าง

  • แตงโม เป็นผลไม้ที่มีวิตามินและแร่ธาตุอยู่ภายในมากมาย ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต น้ำตาล เส้นใย โปรตีน วิตามินเอ วิตามินบีรวม วิตามินซี กรดโฟลิก แคลเซียม เหล็ก แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และ สังกะสี ที่มีประโยชน์ในการช่วยบำรุงผิวพรรณ ทำให้โลหิตไหลเวียนดีจึงทำให้ผิวพรรณสดใสและชุ่มชื่น นอกจากนี้สารสีแดงในแตงโมงที่มีชื่อเรียกว่า “ไลโคปีน” ยังเป็นสารที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยปกป้องผิวจากริ้วรอยก่อนวัย และลดความหมองคล้ำให้แก่ผิวได้เป็นอย่างดี การพอกหน้าด้วยแตงโมยังช่วยดูดซับความมันบนใบหน้า และลดอาการแสบแดงที่เกิดจากผิวไหม้แดดได้อีกด้วย
  • ทับทิม ในผลทับทิมมีวิตามินมากมายหลายชนิด รวมทั้งแมกนีเซียมและแคลเซียม ซึ่งมีประโยชน์ต่อระบบฟอกโลหิต และระบบการหมุนเวียนในร่างกาย ด้วยทับทิมนั้นเป็นผลไม้ที่มีรสหวานออกเปรี้ยว น้ำทับทิมจึงมีวิตามินซีสูง และยังประกอบด้วยเกลือแร่ต่างๆที่มีประโยชน์ต่อร่างกายจึงมีฤทธิ์ในการช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระและต้านเชื้อแบคทีเรียได้เป็นอย่างดี
  • สตรอเบอร์รี่ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระได้แก่ แอนโทไซยานิน (Anthocyanin) เคอซิติน (Quercetin) เคมเพอรอล (Kaempferol) ซึ่งสารเหล่านี้นอกจากจะช่วยชะลอริ้วรอยไม่ให้เกิดก่อนวัยแล้ว ยังมีส่วนช่วยในการยับยั้งสารก่อโรคมะเร็งชนิดต่างๆได้ และเมื่อเปรียบเทียบสารต้านอุมูลอิสระกับผลไม้ชนิดอื่นๆ สตรอเบอร์รี่นั้นจะมีสารต้านอุนมูลอิสระมากกว่าส้มถึง 1 เท่า มากกว่ามะเขือเทศและกล้วยหอมถึง 7 เท่า และมากกว่าลูกแพรถึง 15 เท่า นอกจากนี้ผลไม้ชนิดนี้ยังถือว่าเป็นผลไม้มีวิตามินซีสูง โดยสตรอเบอร์รี่ปริมาณ 100 กรัมจะมีวิตามินซีมากถึง 58 มิลลิกรัมเลยทีเดียว เพราะด้วยมีวิตามินมากมายโดยเฉพาะวิตามินซีและสารต้านนุมูลอิสระ จึงมีส่วนช่วยในเรื่องของการบำรุงผิวพรรณ ช่วยชะลอก่อนวัย ป้องกันผิวเสื่อมสภาพ ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งได้อย่างไม่น่าเชื่อ
  • แก้วมังกร แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายชนิด เช่น วิตามินซี วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 ธาตุแคลเซียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุแมกนีเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก เป็นต้น ที่สามารถช่วยบำรุงให้ผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ชุ่มชื้น ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ซึ่งมีส่วนช่วยในการชะลอวัยความแก่ชราและริ้วรอยต่างๆ


โดยธรรมชาติแล้วคนเราไม่สามารถเปลี่ยนสีผิวของตัวเองให้ขาวขึ้นกว่าปกติได้มากนัก ยกเว้นแค่เพียงว่าเราจะใช้สารที่มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส ที่ทำให้การสร้างเมลานินในผิวหนังลดลงนั้นเอง แต่เราสามารถเพิ่มความสว่าง เนียน ใส และบำรุงให้ผิวพรรณให้สดใส อมชมพู สุขภาพดีขึ้นได้


มัลเบอร์รี (Mulberry) หรือลูกหม่อน....สารพัดประโยชน์เพื่อสุขภาพ

มัลเบอร์รีบำรุงผิว

มัลเบอร์รี (Mulberry) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ลูกหม่อน หลายคนคงจะคุ้นกับชื่อนี้มากกว่า เป็นผลไม้พื้นบ้านของคนไทย ที่นับได้ว่าเป็นสุดยอดแหล่งรวมวิตามินชีที่ดีเลยล่ะ ซึ่งในปัจุบันนี้มัลเบอร์รีเป็นผลไม้ที่คนรักสุขภาพให้ความสนใจและเป็นที่นิยมกันมากขึ้น คงจะเป็นเพราะสรรพคุณที่โดดเด่นในเรื่องของการบำรุงสุขภาพในหลายๆด้านนี้เอง ที่ทำให้มัลเบอร์รี หรือลูกหม่อน เป็นผลไม้สารพัดประโยชน์นั้นเอง

ซึ่งวันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับเจ้าผลไม้อย่างมัลเบอร์รี หรือที่มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า ลูกหม่อน ไปดูกันว่าผลไม้ชนิดนี้จะมีดีแค่ไหน และทำไมถึงเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่คนรักสุขภาพต้องห้ามพลาดเลยล่ะ ตามมาดูกันเลย

มัลเบอร์รี คืออะไรกันนะ ?

มัลเบอร์รี (Mulberry) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Morus nigra. L. เป็นหนึ่งในพืชตระกูลเบอร์รี โดยคนไทยมักจะรู้จักกันในชื่อของลูกหม่อน เนื่องจากเป็นผลของต้นหม่อนที่ใช้ในการเลี้ยงหนอนไหม อันเป็นจุดกำเนิดของอุตสาหกรรมผ้าไหม โดยลักษณะของต้นหม่อน เป็นพืชยืนต้นประเภทไม้พุ่มขนาดกลาง เนื้อไม้อ่อน เจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่เขตร้อน ลำต้นมีลักษณะกลม ผิวเรียบ ไม่มีหนาม แต่มียางสีขาวขุ่นคล้ายน้ำนม ใบมีลักษณะขอบหยัก ปลายใบแหลม ฐานใบกลมหรือเป็นรูปหัวใจ ผิวใบสาก ก้านใบเรียวเล็ก ดอกเป็นรูปทรงกระบอก โดยจะออกตามซอกใบและปลายยอด ผลของหม่อน หรือลูกมัลเบอร์รี มีลักษณะเป็นผลรวมทรงกระบอก สีของผลเป็นสีเขียวอ่อน แต่เมื่อแก่เต็มที่จะมีสีแดงเข้ม ไปจนเกือบดำ มีรสหวานอมเปรี้ยว มัลเบอร์รีถือเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมากมาย ด้วยเพราะคุณค่าทางโภชนาการที่อัดแน่นอยู่ในผลสีเข้ม และรสชาติที่หวานอมเปรี้ยวถูกปาก อีกทั้งยังสามารถรับประทานได้หลายรูปแบบ ทั้งแบบผลสด ผลอบแห้ง มัลเบอร์รีกวน หรือจะดื่มเป็นเครื่องดื่ม อย่างน้ำมัลเบอร์รี จึงทำให้มัลเบอร์รีกลายเป็นผลไม้ยอดนิยม เมื่อรู้จักกับเจ้ามัลเบอร์รีแล้ว แล้วประโยชน์ของมันล่ะจะดีขนาดไหนมาดูกันเลย

คุณประโยชน์ของมัลเบอร์รีเพื่อสุขภาพ
  • ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด อาการระดับน้ำตาลในเลือดเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมักเป็นปัญหาของผู้ป่วยโรคเบาหวาน แต่มัลเบอร์รีมีสรรพคุณช่วยไม่ให้น้ำตาลในเลือดเกิดการผกผันโดยจะเข้าไปชะลอการย่อยของคาร์โบไฮเดรต ทำให้น้ำตาลในเลือดไม่เกิดการผกผันจนส่งผลเสียต่อร่างกาย
  • ลดคอเลสเตอรอล คอเลสเตอรอลเป็นไขมันที่อยู่ในร่างกายซึ่งจำเป็นต้องควบคุมให้อยู่ในระดับปกติ เพราะหากมีมากเกินไปอาจจะทำให้เสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ อาทิ โรคหัวใจ และหลอดเลือด ซึ่งการรับประทานมัลเบอร์รีสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดี (LDL) และกระตุ้นการสร้างคอเลสเตอรอลชนิดที่ดี (HDL) อีกทั้งยังช่วยลดไขมันในตับ และความเสี่ยงไขมันพอกตับได้อีกด้วยค่ะ
  • อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ มัลเบอร์รีถือเป็นพืชในตระกูลเบอร์รีที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอันทรงคุณค่า ที่ช่วยป้องกันเซลล์ต่าง ๆ จากการถูกทำลาย อันเป็นสาเหตุให้เกิดการอักเสบต่าง ๆ และริ้วรอยที่เกิดขึ้นก่อนวัย ไม่เพียงเท่านั้น สารต้านอนุมูลอิสระในมัลเบอร์รียังช่วยบำรุงผิวให้ดูเนียนนุ่ม กำจัดจุดด่างดำที่เกิดขึ้นบนผิว และยังบำรุงผมให้เงางามได้อีกด้วย
  • ป้องกันโรคมะเร็ง เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าโรคมะเร็งเกิดจากภาวะความผิดปกติของเซลล์ที่เกิดจากการที่เซลล์ถูกทำลาย ซึ่งวิธีการป้องกันก็คือการรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ และในมัลเบอร์รีก็มีเจ้าสารนี้อยู่ไม่ใช่น้อย โดยสารเหล่านี้จะไปทำการยับยั้งการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง และกำจัดเซลล์มะเร็งไปพร้อม ๆ กัน นับว่าเป็นอาหารต้านมะเร็งที่ให้ผลที่ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว
  • กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ธาตุเหล็กเป็นสารอาหารที่ไม่ค่อยพบได้ง่ายในพืช แต่กลับมีในมัลเบอร์รี ซึ่งเจ้าสารชนิดนี้จะไปกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง เพิ่มการไหลเวียนของเลือด ทำให้ร่างกายสามารถส่งออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงเนื้อเยื่อและอวัยวะต่าง ๆ ได้มากขึ้น
  • เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน มัลเบอร์รีเป็นพืชที่มีสารอัลคาลอยด์ (Alkaloids) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยสร้างเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน โดยจะไปกระตุ้นเซลล์แมคโคเฟจ (macrophages) ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่ในการกำจัดเชื้อโรคและเชื้อไวรัสที่เข้ามาในร่างกาย ส่งผลให้เราไม่ป่วยง่ายค่ะ
  • ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง เรสเวอราทรอล (Resveratrol) เป็นสารที่พบได้ในเปลือกผลไม้บางชนิด เช่น องุ่น และพืชตระกูลเบอร์รีบางชนิด และในมัลเบอร์รีก็มีอยู่ไม่น้อยเลยเชียวล่ะ ว่ากันว่าหากบริโภคอาหารที่มีสารชนิดนี้จะช่วยควบคุมความดันโลหิตไม่ให้สูงจนเกินไป และลดความเสี่ยงโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดด้วย
  • บำรุงสายตา ซีแซนทีนที่อยู่ในมัลเบอร์รี เป็นสารสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพดวงตา โดยสารนี้จะเข้าไปลดภาวะออกซิเดชั่นที่เกิดขึ้นในดวงตา ป้องกันการเกิดจอประสาทตาเสื่อม อีกทั้งสารต้านอนุมูลอิสระในมัลเบอร์รีก็ยังช่วยให้ดวงตาใสปิ๊ง นี่ยังไม่รวมถึงวิตามินบี 1 ที่มีประโยชน์ในการบำรุงสายตาโดยตรง ดีขนาดนี้ใครจะอดใจไหว
  • ช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย ปริมาณไฟเบอร์ที่ไม่เป็นรองใคร ทำให้มัลเบอร์รีเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่ดีสำหรับระบบขับถ่าย ไฟเบอร์ในมัลเบอร์รีจะเข้าไปกระตุ้นระบบขับถ่ายให้ทำงานเป็นปกติ และช่วยแก้ปัญหาท้องผูก อีกทั้งยังช่วยแก้ท้องอืด และจุกเสียดได้อีกด้วย

ด้วยประโยชน์ที่มากมายจึงทำให้มัลเบอร์รี เป็นผลไม้ที่เรียกได้ว่าน่ารับประทานมากที่สุดเลยตอนนี้ ก็เพราะด้วยประโยชน์ที่อัดแน่นนี้เอง และในปัจุบันก็ยังหารับประทานได้ง่าย ทั้งแบบผลสด ผลอบแห้ง น้ำผลไม้ และที่สำคัญยังอร่อยมากด้วย ดีอย่างนี้สำหรับใครที่รักสุขภาพล่ะก็ อย่าลืมที่จะลองหามาทานกันนะคะ รับรองได้ว่าคุณจะไม่ผิดหวังแน่นอน...

ลูกหม่อนเพื่อสุขภาพ