วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2559

บำรุงสมองด้วยการกินอาหารที่มีโอเก้ก้า 3

อาหารบำรุงสมอง ถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างหนึ่งที่มีส่วนสำคัญ ในการช่วยดูแลและฟื้นฟูประสิทธิภาพการทำงานของสมอง เพื่อไม่ให้สมองเกิดการเสื่อมถอยด้อยลงด้วยสาเหตุต่างๆ การทานอาหารที่ดีที่มีประโยชน์ ก็ถือเป็นการได้เพิ่มเกาะป้องกันให้กับความจำ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของความคิดและเพิ่มจิตนาการให้กระโดดโลดแล่นได้อีกด้วย


สมองเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งที่สำคัญที่สุดในร่างกายของเรา ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการกระทำของเราทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหว ความรู้สึกนึกคิด หรือความจำ นอกจากนี้ยังมีการกระทำอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่สมองไม่ได้ควบคุมการกระทำนั้นโดยตรง แต่ควบคุมผ่านทางสารเคมีที่มีอยู่ในโลหิต ซีงมีผลกระทบไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย

ดังนั้น การบำรุงสมองจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่มีความสำคัญอย่างมาก เพราะหากสมองหมดประสิทธิภาพ หรือมีการทำงานที่ลดน้อยลง อาจส่งผลกระทบต่อส่วนต่างๆในร่างกาย

โอเมก้า 3 คือ อะไร

โอเมก้า 3 เป็นชื่อของกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง ซึ่งกลุ่มของโอเมก้า 3 ที่ได้จากปลาทะเลน้ำลึก รวมถึงปลาทะเลและปลาน้ำจืดไทยบางชนิดนั้น เป็นกลุ่มของ อีพีเอ (EPA) และ ดีเฮสเอ (DHA) นอกจากนี้ โอเมก้า 3 ยังมีอยู่ในพืชด้วย เช่น ผักใบเขียว บรอคโคลี เมล็ดวอลนัท ถั่วเหลือง รวมถึงน้ำมันถั่วเหลืองด้วย ซึ่งชื่อของโอเมก้า 3 กลุ่มนี้คือ กรดแอลฟาไลโนเลนิก หรือ กรดไลโนเลนิก (α- LNA หรือ ALA) ซึ่ง α- LNA เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่จำเป็นต่อร่างกาย เนื่องจากร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ และจะได้รับจากการรับประทานอาหารเท่านั้น แต่สำหรับ EPA และ DHAร่างกายสามารถเปลี่ยนจาก α- LNA ไปเป็น EPA และ DHA ได้

บำรุงสมองด้วยการกินอาหารที่มีโอเมก้า 3 

กินอาหารประเภทปลา 
ปลาเป็นอาหารที่มีโปรตีนสูงและคุณภาพดีเหมือนเนื้อสัตว์ทั่วๆไป นอกจากนั้นยังมีไขมัน วิตามิน เกลือแร่ และคาร์โบไฮเดรต ปริมาณโปรตีนในปลาน้ำจืดกับปลาน้ำเค็มใกล้เคียงกันมาก นอกจากนี้ยังมีผลวิจัยว่าสารดีเอชเอ มีส่วนสำคัญในการพัฒนาสมองโดยเฉพาะในส่วนของความจำ และการเรียนรู้ ทำให้เกิดการเรียนรู้ได้ดีขึ้น

รับประทานปลาที่มีโอเมก้า3 สองมื้อต่อสัปดาห์ทำให้หัวใจมีสุขภาพดี ช่วยลดปัญหาเรื่องการทำงานของสมองเสื่อม

กินถั่วเหลือง
รู้หรือไม่ว่า การกินนมถั่วเหลืองเพียงวันละ 1 แก้ว ก็เพียงพอต่อการได้รับปริมาณของโอเมก้า 3 ในร่างกายแล้ว นอกจากนี้นมถั่วเหลืองยังมีประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้หญิง โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีภาวะหมดประจำเดือน เนื่องจากในนมถั่วเหลืองนั้นมีฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นฮอร์โมนหลัก ที่ควบคุมการเสริมสร้างกระดูกของร่างกาย และยังช่วยรักษาความชุ่มชื้น และความยืดหยุ่นของผิวหนัง

ผักใบเขียว
การกินผักใบเขียวทุกวันจะช่วยลดการเกิดโรคหัวใจ อีกทั้งยังช่วยในเรื่องของการมองเห็น เพราะในผักใบเขียว มีแคโรทีนอยด์อยู่ 2 ชนิดด้วยกัน คือ ลูทีน และซีแซนทิน ซึ่งมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม อีกทั้งยังอุดมไปด้วยกรดโฟลิกที่จะช่วยให้ร่างกายผลิตเซลล์ใหม่ และเป็นแหล่งวิตามินอีและโฟเลตที่ช่วยชะลอปัญหาความจำเสื่อม นอกจากนี้ในผักใบเขียวยังมีกรดไขมันของโอเมก้า 3 อีกด้วย เพียงแค่ทานวันละครึ่งถ้วยก็สามารถให้โอเมก้า 3 ในประมาณ 100 มิลลิกรัมแล้ว

น้ำมันคาโนลา
เพราะในน้ำมันชนิดนี้มีกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่สูงมากๆ เพราะมีโอเมก้าถึง 3 ชนิดอัลฟ่าไลโนเลอิก หรือ ALA ในประมาณ 1,300 มิลลิกรัมต่อ 1 ช้อนโต๊ะ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วสถาบันทางการแพทย์จะแนะนำให้ผู้ชายทานกรดไขมันโอเมก้า 3 วันละอย่างน้อย 1,100 มิลลิกรัม ส่วนผู้หญิงวันละ 1,600 มิลลิกรัม แต่แค่น้ำมันคาโนลา 1 ช้อนโต๊ะ ก็สามารถให้ ALA สูงเกือบเท่าความต้องการใน 1 วัน


นอกจากกรดไขมันโอเมก้า 3 จะช่วยพัฒนาสมองและเพิ่มประสิทธิภาพของการจดจำแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อระบบประสาท และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายเราอีกด้วย


วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2559

เทคนิคการเลือกแป้งทาหน้าให้เหมาะกับสภาพผิว

เคยไหมก่อนจะตัดสินใจเลือกซื้อแป้งสัก 1 ตลับ มาทาหน้าแต่ละที ต้องใช้เวลายืนเลือกและตัดสินใจอยู่เป็นชั่วโมง


วันนี้เราเลยจะมาให้ความรู้และมาแนะนำวิธี เกี่ยวกับการเลือกซื้อหรือเลือกใช้แป้งทาหน้ายังไง ให้ตรงต่อความต้องการและเหมาะสมกับสภาพผิวหน้าของแต่ละคน

ความแตกต่างของแป้งแต่ละชนิด

แป้งฝุ่นทาหน้า เป็นแป้งที่มีอณูเล็กและละเอียดกว่าแป้งฝุ่นทาตัวหรือแป้งเด็กธรรมดาทั่วไป จึงทำให้สามารถแทรกซึมไปกับบริเวณริ้วรอยหรือร่องลึกต่างๆได้ดีกว่า โดยไม่ก่อให้เกิดการอุดตันรูขุมขน

  • เหมาะสำหรับ การนำมาเซ็ทตัวเมคอัพเบส หรือรองพื้น เพราะรองพื้นหรือเมคอัพเบสเหล่านี้ จะมีส่วนผสมของน้ำมันอยู่มาก เมื่อทาลงไปบนผิวก็จะทำให้หลงเหลือความมันอยู่บนใบหน้า แต่เมื่อทาแป้งฝุ่นลงทับลงไปจะสามารถช่วยลดความมัน และช่วยดูดซับความมันจากรองพื้นได้

แป้งผสมรองพื้น หรือแป้งทูเวย์ เป็นเนื้อแป้งที่มีส่วนผสมของรองพื้นรวมอยู่ด้วย มีความพิเศษในการช่วยปกปิดริ้วรอยและจุดด่างดำต่างๆ ปานกลางจนถึงมาก 

  • เหมาะกับคนที่ไม่มีเวลาในการแต่งหน้า หรือไม่ต้องการความละเอียดในการแต่งหน้ามากนัก

แป้งฝุ่นอัดแข็ง เป็นแป้งอัดแข็งที่ไม่มีส่วนผสมของรองพื้น จึงสามารถนำมาเซ็ทตัวได้โดยไม่เพิ่มชั้นความหนาของการแต่งหน้ามากนัก

  • เหมาะกับการนำมาไว้ใช้เติมในระหว่างวัน

วิธีการเลือกซื้อแป้งพับให้ตรงกับผิวหน้ายังไง ให้แป๊ะ ปัง ไม่เสียป่าว

ข้อ 1. เราต้องรู้ก่อนว่าสภาพผิวหน้าของเรานั้นเป็นผิวประเภทไหน
เพราะถ้าหากเรารู้ว่าสภาพผิวหน้าของเราเป็นแบบไหน เราจะสามารถเลือกซื้อแป้งที่ช่วยบำรุงหรือช่วยแก้ปัญหาเหล่านั้นให้ตรงต่อความต้องการได้

ข้อ 2. การเลือกแป้งให้เหมาะสมกับสีผิว
การเลือกแป้งทาหน้าทุกครั้งให้ลองบนใบหน้าจริงๆ ห้ามลองบนหลังมือหรือใต้ข้อมือ เพราะจะได้เปรียบเทียบกับสภาพสีผิวที่ต้องทาจริงๆ เราจะได้รู้ว่าสีแป้งพับกับสีผิวเข้ากับหรือกลมกลืนกันหรือไม่ 

วิธีทดลอง ควรใช้กระดาษสำหรับเช็ดหน้าเช็ดเครื่องสำอางค์เดิมและความมันออกก่อน เพื่อให้ได้สีผิวของหน้าจริง แล้วจึงค่อยทาแป้งเปรียบเทียบว่าสีใดเหมาะสม 

ข้อ 3. เลือกแป้งให้ตรงต่อความต้องการใช้

  • สำหรับผิวที่ต้องการการปกปิดเพียงเล็กน้อย ควรใช้แป้ง foundation หรือ แป้ง Loose Powder เพราะเนื้อแป้ง 2 ตัวนี้จะบางเบาไม่หนามาก สามารถปกปิดริ้วรอยได้ในระดับหนึ่ง
  • ผิวที่ต้องการการปกปิดสูง ควรเลือกใช้แป้ง Two Way Powder เพราะเป็นแป้งที่มีส่วนผสมของรองพื้น จึงสามารถปกปิดริ้วรอยต่างๆได้ดี ช่วยให้หน้าเนียนเรียบอีกด้วย


วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2559

วิธีที่ทำให้ขาสวย เนียนใส จนใครต่อใครต้องเหลียวมอง

ขาขาว เนียนใส ถือเป็นอาวุทร้ายที่ช่วยสะกดทุกสายตาชาย ให้หยุดเหลียวมองจนลืมกระพริบตาได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว


การจะมีขาสวยเนียนเรียบน่ามองได้นั้นไม่ใช่เรื่องยากเลยละคะ แค่ต้องรัก ดูแล และเอาใจใส่ผิวตัวเองอย่างสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้ ใช้เวลาแค่ 1-2 สัปดาห์เท่านั้น คุณก็สามารถเห็นผลเปลี่ยนแปลงได้อย่างแน่นอน เรามาดูกันดีกว่าว่ามีขั้นตอนการบำรุง รักษาผิวอย่างไรบ้าง 

สาเหตุของผิวแตกลาย

ผิวแตกลายเกิดจากการยืดขยายต่อเนื่องของผิวหนัง และเนื้อเยื่อในเวลาอันรวดเร็ว ทำให้เกิดการทำลายโครงสร้างคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ ทำให้เกิดความผิดปกติของเส้นใยที่อยู่ใต้ผิวหนังที่เรียกว่า เส้นใยใต้ผิวหนัง (collagen และ elastic fibers) ทางการแพทย์เรียกภาวะนี้ว่า stria distensae ซึ่งนอกจากจะพบในคนหนุ่มสาวแล้ว ยังพบได้ในอีกหลายภาวะ เช่น

  • คนท้อง เรียกว่า Striae Distensae ซึ่งพบได้ 90 เปอร์เซ็นต์ ของการตั้งครรภ์
  • ผิวแตกลายจากการ ใช้ยาสเตียรอยด์ โดยทายาสเตียรอยด์ชนิดแรงๆนานๆทำให้ผิวบางและแตก
  • เกิดจากโรคบางชนิด เช่นโรค Marfan Syndrome โรคตับอักเสบเรื้อรัง
  • นักเพาะกาย Body Builders คนที่ชอบออกกำลังกาย หรือคนที่ชอบยืดกล้ามเนื้อมากๆรอยแตกลาย
  • คนอ้วน หรือคนที่น้ำหนักขึ้นเร็วๆ

นอกจากจากนี้ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้ขาเราแตกลายได้ เช่น การขาดความชุ่มชื้นของผิว ผิวมีผดผื่นคันเกิดขึ้น มีร่องรอยของสิวที่อยู่บนบริเวณผิวหนัง การใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่นเกิดไป น้ำเหลืองของร่างกายไม่ดี เป็นต้น สิ่งต่างๆเล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิด รอยดำ รอยหมองคล้ำ เกิดจุดด่างคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ

การจะฟื้นฟูผิวขาให้กลับมาเนียบเรียบ สวยใส จนหน้ามองได้นั้นควรปฏิบัติ ดังนี้

สครับผิวขา ให้ขาวเนียนใส
เพราะการผลัดเซลล์ผิวคือการบวนการตามธรรมชาติของการกำจัดเซลล์ที่ตายแล้วออกไป เพื่อเผยผิวใหม่ที่ขาวใสและสุขภาพดีขึ้นมาแทนเซลล์ผิวเก่า ที่เสื่อมสภาพและตายไปจากการเจอกับมลภาวะหรือแสงแดด การผลัดเซลล์ผิวจึงเป็นกระบวนการสำคัญที่ทำให้ผิวเนียนใสแลดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ โดยหาผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีสารสกัดมาจากธรรมชาติ หรือผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพในการซึมซาบสู่ผิวได้ดี นำมาใช้ขัดหรือสครับผิวบริเวณที่มีปัญหา ทำ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์

  • สูตรสครับผิวด้วยกากกาแฟ โดยใช้กากกาแฟ 1 ถ้วย + โยเกิร์ต 1 ถ้วย + ขมิ้น 2 ช้อนโต๊ะ มาผสมแล้วคนให้เข้ากัน จากนั้นให้นำมาขัดนวดวนๆลงบนผิวให้ทั่วอย่างเบามือ จากนั้นพอกทิ้วไว้ 15 นาที แล้วล้างออก
  • สูตรสครับผิวด้วยน้ำตาล + น้ำมะนาว + น้ำมันอัลมอนด์ โดยการนำน้ำตาลไปผสมกับน้ำมันอัลมอนด์และน้ำมะนาว โดยผสมคนในสัดส่วนที่พอเหมาะ คืออย่าให้เหลวหรือแห้งจนเกินไป จากนั้นนำมาขัดนวดวนเบาเช่นเคย แล้วล้างออก
  • สูตรสครับผิวด้วยน้ำมะนาว + ดินสอพอง + ใยบวบ โดยการผสมน้ำมะนาวกับดินสองพองเข้าด้วยกัน ผสมน้ำลงไปเล็กน้อย แล้วนำมาทาตรงบริเวณของผิวที่แตกลาย และพอกทิ้งไว้ 5 นาที จากนั้นให้นำใยบวบมาขัดตรงบริเวณผิวที่พอกดินสอพองไว้แล้วล้างออก

ทาครีมบำรุงเป็นประจำทุกวัน เช้า-เย็น หรือทาทุกครั้งหลังอาบน้ำ
โดยให้เน้นการทาครีมบำรุงที่มีความเข้มข้นสูงในบริเวณผิวแตกลาย เพื่อเพิ่มความชุ้มชื้นให้แก่ผิว ทำให้ผิวเนียนนุ่ม ลดและป้องกันการเกิดรอยแตกลายใหม่ที่ผิวหนัง

ปกป้องผิวด้วยการทาครีมกันแดดทุกวัน
ทาครีมกันแดดเพื่อป้องกันรังสี UV ไม่ให้ทำลายผิวจนหมองคล้ำ เพราะผิวเรียวขาก็ต้องการการปกป้องจากแสงแดดเช่นกัน 

กำจัดไขมันส่วนเกินออกจากผิว
ด้วยการออกกำลังกายสลายไขมันทุกวัน วันละ 20 นาที เพื่อช่วยกระชับช่วงขาให้เรียวสวย

ดื่มน้ำให้มากขึ้น และดื่มให้เพียงพอตามที่ร่างกายต้องการ
เพราะน้ำคือตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ผิวชุ่มชื้นจากภายในสู่ภายนอก การดื่มน้ำอย่างเพียงพอนอกจากจะช่วยให้ผิวฟื้นฟูได้เร็ว ยังมีผลทำให้ผิวแลดูอ่อนวัยได้อีกด้วย


วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2559

เคล็ด(ไม่)ลับ ขั้นตอนการดูแลผิวรับลมหนาว

ปัญหาผิวแห้งที่มาพร้อมกับสภาพอากาศที่หนาวเหน็บ เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยจนเดี๋ยวนี้ใครๆก็มองว่าเป็นเหมือนเรื่องที่ปกติไปซะแล้ว แต่จะรู้หรือเปล่าว่าปัญหาเหล่านี้หากยังไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้อง ผิวที่แห้งแตกในฤดูหนาวอาจเกิดการระคายเคือง ตกเป็นสะเก็ด และกลายเป็นแผลอักเสบตามมาในที่สุด


ปัญหาของผิวแห้งที่เกิดขึ้น

เกิดจาก ต่อมผลิตไขมันเกิดการทำงานที่ลดลง ทำให้ผิวขาดน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวตามธรรมชาติ ผิวจึงไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื่นเอาไว้ได้ 

ปกติแล้วต่อมใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันที่เรียกว่า "ซีบัม" ซึ่งจะทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น และมีความนุ่มยืดหยุ่น แต่ในช่วงที่อากาศเย็นและแห้งนั้น อาจทำให้ผิวหนังแห้ง แตกเป็นขุย คัน และหยาบกระด้าง อาการผิวแห้งคันที่พบบ่อยในหน้าหนาว นั้นเนื่องจากอากาศที่แห้งได้ดูดน้ำออกจากผิวหนัง โดยทั่วไประดับน้ำในชั้นใต้ผิวซึ่งตามปกติจะอยู่ราว 10-20 เปอร์เซ็นต์ แต่เมื่อไหร่ที่ลดลงเหลือน้อยกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ ผิวก็จะเริ่มแห้งและเกิดเป็นริ้วรอยเล็กๆเกิดขึ้น

วิธีการป้องกันและรักษาปัญหาผิวแห้ง โดยมีหลักการง่ายๆก็ คือ ป้องกันการเสียน้ำจากผิวหนัง และเพิ่มปริมาณน้ำที่เสียไปให้กับผิว ดังนี้ 

อาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น 
เพราะการอาบน้ำอุ่นในช่วงฤดูหนาว จะช่วยในเรื่องการขยายตัวของเส้นเลือดผิวได้ดี ทำใหห้เลือดเกิดการไหลเวียนเพิ่มขึ้น หลังจากอาบน้ำอุ่นแล้วให้ชโลมตัวด้วยน้ำเย็นต่อเป็นการปิดท้าย วิธีนี้จะทำให้เรารู้สึกอบอุ่นหลังการอาบน้ำมากกว่าปกติแล้ว ยังเป็นการช่วยปิดรูขุมขน ป้องกันการสูญเสียน้ำหล่อเลี้ยงผิว

ที่สำคัญควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่อ่อนโยนไม่ทำลายไขมั้นที่จำเป็นในผิว

หลังอาบน้ำควรทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิว
การทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิว นอกจากจะช่วยให้ผิวไม่ลอก แตก เป็นขลุยแล้ว ยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวชั้นนอกอีกด้วย

การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวควรมีส่วนผสมของสาร 3 ชนิด คือ ยูเรีย แลคเตรท และกลูโค-กลีเซอรอล สารเหล่านี้จะให้ความชุ่มชื้นผิวตามธรรมชาติ ช่วยยึดเกาะโมเลกุลน้ำอยู่ภายใน ทำให้ผิวชุ่มชื้น เพิ่มการส่งผ่านโมเลกุลน้ำไปยังผิว แถมยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงของชั้นปกป้องผิว และยังป้องกันการสูญเสียน้ำอีกด้วย

ดื่มน้ำเป็นประจำ ให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
น้ำถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมากอย่างหนึ่งในร่างกาย การดื่มน้ำที่เพียงพอจึงถือเป็นการบำรุงผิวจากภายในสู่ภายนอก เมื่อร่างกายได้รับน้ำที่เพียงพอจะทำให้ผิวเกิดความชุ่มชื้น เปล่งปลั่งและสดใสขึ้น ปริมาณน้ำที่ควรบริโภคต่อวัน คือ 8 แก้ว หรือวันละ 2 ลิตรได้ยิ่งดี

ทานอาหารที่มีประโยชน์
โดยการเลือกทานอาหาร ผัก ผลไม้ ที่ช่วยในการส่งเสริมสุขภาพ และป้องกันการขาดน้ำของร่างกายได้ เช่น โปรตีน, วิตามินบีรวม, วิตามินซี, วิตามินอี และโอเมก้า3 เป็นต้น

ออกกำลังกายเป็นประจำ
การออกกำลังกายวันละนิดเป็นประจำ จะช่วยให้หลอดเลือดในร่างกายมีการสูบฉีด และเลือดมีการไหลเวียนที่ดีขึ้น ทำให้ผิวพรรณสดใส ร่างกายแข็งแรง



วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ฟันขาวสวย ทำได้ด้วยตัวเอง

รอยยิ้มถือเป็นสิ่งที่สำคัญและมีเสน่ห์มากอย่างหนึ่ง ที่สามารถทำให้คนเรานั้นใกล้ชิดสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้การยิ้มและการหัวเราะยังทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนหนึ่งที่เรียกกันว่าฮอร์โมนแห่ง "ความสุข" หรือที่รู้จักกันในชื่อ เอนเดอร์ฟิน นั้นเอง ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้แหละที่เป็นอาวุธร้ายในการต่อสู้กับความกลัวภายในจิตใจของเราได้เป็นอย่างดี


ความขาว ความแข็งแรง และรูปทรงของฟันต่างเป็นปัจจัยที่ทำให้เรามียิ้มที่สวยงาม นอกยังนี้ริมฝีปากและเหงือกก็ถือเป็นสิ่งที่สำคัญด้วย  การรักษาความสะอาดบริเวณช่องปากนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะมันจะทำให้ช่องปากมีสุขภาพดีและทำให้รอยยิ้มดูสวยขึ้นได้อย่างชัดเจน

ในแต่ละคนนั้นก็ต่างมีรอยยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่มีใครเหมือน เช่นเดียวกับสีของฟัน

ฟันเลืองเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ 

  • การสูบบุหรี่เป็นประจำ หรือการรับประทานอาหาร หรือเครื่องดื่มที่มีสี เช่น ชา กาแฟ เป็นต้น จึงทำให้มีคราบอาหาร คราบแบคทีเรีย และหินปูน มาเกาะติดสะสมทีละน้อยจนเห็นเป็นสีเหลือง
  • แปรงสีฟันที่ไม่มีคุณภาพ จะทำให้ประสิทธิภาพในการขจัดคราบสกปรกมีน้อยลง ส่งผลให้เกิดคราบตกค้างที่ผิวฟันและนำไปสู่การเกิดฟันเหลือง
  • การจัดฟัน เนื่องจากอุปกรณ์ที่ยึดติดฟัน เช่น แร่เงิน มัลกัม ฯลฯ ซึ่งวัสดุเหล่านี้จะทำให้สีของฟันเปลี่ยนเป็นสีเหลืองได้
  • กรรมพันธุ์และวัยของคุณ เนื้อฟันตามธรรมชาติของคุณจะขาวหรือเหลืองน้อยหรือมากก็ขึ้นอยู่กับกรรมพันธุ์ด้วย เช่น คนผิวดำฟันจะขาว คนมีสีฟันที่ผิดปกติมาแต่กำเนิด รวมไปถึงคนที่มีอายุมากขึ้น

วิธีที่ช่วยให้ฟันขาวขึ้น

  • หมั่นดูแลสุขภาพช่องปากให้สะอาดอยู่เสมอ แปรงฟันให้สะอาดอย่างถูกวิธี อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้า และ ก่อนเข้านอน
  • งดสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่เป็นสาเหตุทำให้ฟันฟันเหลือง 
  • สำหรับผู้ที่ไม่มีปัญหาในช่องปากควร
  • หมั่นไปพบทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมออย่างน้อยปีละครั้ง
  • เลือกใช้ยาสีฟันสูตรทำให้ฟันขาวหรือยาสีฟันฟอกฟันขาว
  • การขัดฟัน เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยขจัดคราบต่าง ๆ ที่เกาะอยู่บนฟันหลังจากการขูดหินปูน ฟันเหลืองที่เกิดจากคราบ
  • เปลือกกล้วยที่กินทุก ๆ เช้าน่ะอย่าไปทิ้ง เพราะแค่นำมาถู ๆ บนฟันและเหงือก ก็จะช่วยให้ฟันขาวขึ้นได้ด้วย เพราะในเปลือกกล้วยเต็มไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยให้ฟันขาวขึ้นได้
  • นำแปรงสีฟันเปียกๆมาจุ่มผงถ่านแล้วนำมาขัดถูฟันสักพัก พอล้างออกแล้วให้แปรงด้วยยาสีฟันตามปกติ 
  • ใส่เกลือลงในยาสีฟันเพียงเล็กน้อยขณะแปรงฟัน ช่วยให้ฟันขาวขึ้นได้
  • ขมิ้นชัน + มะนาว + เกลือ อีกหนึ่งวิธีกำจัดคราบฟันเหลืองที่หาได้จากสิ่งใกล้ตัว เพียงแค่ผสมผงขมิ้นชัน เกลือป่น และน้ำมะนาวเข้าด้วยกันพอให้เป็นเนื้อครีมเหลวๆคล้ายกับยาสีฟัน จากนั้นใช้แปรงฟันทุกๆสองสัปดาห์
  • การกินแครอทดิบหรือถูฟันด้วยแครอทดิบก็สามารถช่วยให้ฟันขาวขึ้นได้ เนื่องจากว่าแคร์รอตอุดมไปด้วยวิตามินซีที่ช่วยป้องกันโรคเหงือกและฆ่าแบคทีเรียสาเหตุที่มาของกลิ่นปาก
  • บดสตรอเบอรี่ 1-2 ลูก แล้วนำไปทาที่ฟัน จากนั้นทิ้งไว้สัก 2-3 นาที แล้วบ้วนน้ำออกหรือแปรงฟันตามปกติ เนื่องจากในสตรอว์เบอร์รีมีกรดมาลิคที่เป็นส่วนผสมสำคัญในยาสีฟันที่ทำให้ฟันขาว


การทำให้ฟันขาวไม่ได้เป็นการรักษาที่ถาวร แต่เป็นเพียงการช่วยให้ฟันดูดีและขาวขึ้นนั้นเอง การฟอกสีฟัน หรือการทำฟันให้ขาวขึ้นนั้น ระยะเวลาในการดูแลหรือทำให้ฟันเราขาวขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นกับลักษณะการเปลี่ยนสีของฟัน ว่ามาจากภายนอกหรือจากโครงสร้างเนื้อใน ฟันมีการติดสีมากน้อยเพียงใด

วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2559

อาหารดูแลสุขภาพของคนนอนดึก

โทษของการนอนดึกนอกจากจะส่งผลทำให้ผิวพรรณไม่สดใสแล้ว ยังทำให้ร่างกายไม่แข็งแรง สุขภาพจิตย่ำแย่อีกด้วย 


หากยังนอนดึกหรือไม่ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอต่อไป อาจส่งผลก็ให้ร่างกายเกิดโรคภัยในที่สุด

ผลของการนอนดึก

เพราะการนอนดึกทำให้ระบบการทำงานต่างๆของร่างกายมีปัญหา ทำให้ระบบการย่อยอาหารทำงานไม่เป็นปกติ การย่อยอาหารลำบาก ก่อให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและความชื้น เมื่อความชื้นน้อยลงก็จะทำให้รู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออก ปอดทำงานไม่ปกติ นอกจากนี้การนอนดึกยังส่งผลต่อความแข็งแรงของเม็ดเลือดขาว และกลไกการตอบสนองภูมิคุ้มกันต่างๆของร่างกาย ซึ่งมีหน้าที่ในการต่อสู้กับเชื้อโรค จึงทำให้ป่วยง่าย ร่างกายไม่แข็งแรง ซีดเซียว ไม่มีชีวิตชีวา  สมองเบลอ หลงๆ ลืมๆ ตลอดจนอาจเพิ่มปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง เนื่องจากวงจรการหลั่ง ฮอร์โมนของร่างกายแปรปรวน 

เมื่อการนอนดึกเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นเราจึงควรเตรียมรับมือ ด้วยการบำรุงดูแลสุขภาพ โดยการรับประทานอาหารที่ช่วยเสิรมสร้างภูมิคุ้มกัน และช่วยบำรุงรักษาสุขภาพร่างกาย 

อาหารที่จำเป็นสำหรับคนนอนดึก

โปรตีนสีขาว เช่น เนื้อปลา อกไก่ ไข่ขาว เต้าหู้ เป็นต้น โปรตีนเหล่านี้จะช่วยในเรื่องการสร้างเคมีในสมองอย่าง โดพามีน เอพิเนฟริน ที่จำเป็นในการบำรุงสมองของคนที่นอนดึก   
    
ถั่วเหลือง ไข่แดง จะช่วยป้องกันอาการความจำเสื่อม ช่วยให้มีสมาธิดีขึ้น ความจำดีขึ้น นอกจากนั้นในไข่แดงยังมีไบโอตินที่ช่วยบำรุงสมอง และกาบ้า ที่ช่วยให้สมองทำงานได้ดี

ข้าวกล้องงอก และธัญพืชต่างๆ เช่น พืชตระกูลถั่ว ข้าวบาร์เลย์ มอลต์ หรือลูกเดือยจะมีกาบ้าสูง ทำให้ตัวสื่อประสาทในสมองทำงานดีขึ้น มีความจำที่ดีขึ้น อาหารประเภทนี้จะได้สารอาหารประเภท กาบ้า ตลอดจนวิตามินบี ที่อุดมอยู่ในข้าวกล้อง และธัญพืชต่างๆ จะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง และช่วยให้สมองนั้นเกิดการตื่นตัวและสดชื่น

ปลา เพราะในเนื้อปลาจะมีกรดไขมันชนิดหนึ่งที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของสมอง คือ โอเมก้า 3 จะพบมากใน ปลาทะเล เช่น ปลาทู สัตว์ทะเล และปลาน้ำจืดบางชนิด ที่ช่วยพัฒนาเนื้อเยื่อของระบบประสาท ทั้งยังเป็นสารตั้งต้นของดีเอชเอ และเออาร์เอ ซึ่งมีความจำเป็นต่อการเสริมสร้างความเจริญเติบโตของสมองด้วย แต่การรับประทานควรทานในปริมาณและอัตราที่เหมาะสม ก็จะช่วยเสริมสร้างสมองได้เป็นอย่างดี

กินวิตามินบีรวม เพราะวิตามินบีรวมเป็นวิตามินมีความสำคัญในการช่วยรักษาโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคเหน็บชา และโรคสมอง เช่น

  • วิตามินบี 1 มีหน้าที่ในการเผาผลาญน้ำตาลที่เรารับประทานเข้าไปให้เกิดเป็นพลังงาน จะช่วยป้องการการเกิดโรคโลหิตจาง และโรคเหน็บชา
  • วิตามินบี 2 มีประโยชน์มากในเด็กที่กำลังเจริญเติบโต ป้องกันการเกิดแผลในปากและโรคปากนกกระจอก ป้องกันการเกิดโรคไมเกรน ช่วยทำให้ ผิวหนัง เล็บ เส้นผมมีสุขภาพ และลดการเกิดมะเร็งหลอดอาหารอีกด้วย
  • วิตามินบี 3 มีหน้าที่ในการเผาผลาญอาหาร ทำให้เกิดพลังและการสร้างไขมันในร่างกาย ช่วยทำลายสารพิษจากมลพิษ ควันบุหรี่ รักษาอาการเครียดและช่วยในการไหลเวียนของเลือด
  • วิตามินบี 5 มีความจำเป็นต่อการทำงานของสมอง บรรเทาอาการข้ออักเสบ ช่วยในการนอนหลับให้ดีขึ้น และควบคุมสมดุลเกลือแร่ในร่างกาย
  • วิตามินบี 6 จำเป็นต่อการทำงานของสมองและระบบประสาท และมีหน้าที่สำคัญในการเผาผลาญโปรตีนในรายกาย ช่วยปรับสภาพผิวหนังให้เป็นปกติ
  • วิตามินบี 12 มีความจำเป็นในการสร้างเม็ดเลือด การทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง และระบบทางเดินอาหาร ป้องกันอาการอ่อนเพลียจากโรคโลหิตจาง

รู้อย่างนี้แล้วใครที่มีเหตุให้ต้องนอนดึกบ่อยๆ ก็อย่าลืมซื้ออาหารเหล่านี้มาติดบ้านไว้ด้วยนะ และที่สำคัญควรจิบน้ำทั้งวันเพื่อให้ร่างกายได้รับความชุ่มชื้น การไหลเวียนของเลือดจะได้ทำงานได้อย่างปกติ ระบบสมองจะได้ไม่เสื่อมอีกด้วย

วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2559

สวยได้ดังใจ ด้วยน้ำมันมะพร้าว


น้ำมันมะพร้าว (Coconut Oil) คือ น้ำมันที่ได้จากการสกัดแยกน้ำมันจากเนื้อผลของ โดยองค์ประกอบหลักของน้ำมันมะพร้าวจะมีกรดไขมันอิ่มตัวเกิน90% ของปริมาณกรดไขมันทั้งหมด ซึ่งกรดไขมันเหล่านี้จะมีขนาดโมเลกุลปานกลาง เมื่อรับประทานเข้าไปจะถูกเผาผลาญได้ดี จึงถูกสะสมในเนื้อเยื่อไขมันได้น้อยกว่ากรดไขมันที่มีขนาดโมเลกุลยาว

น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น คือ น้ำมันที่สกัดมาจากเนื้อมะพร้าวโดยไม่ผ่านความร้อนและไม่ผ่านกระบวนการทางเคมี ซึ่งน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์นี้จะมีลักษณะใส ไม่มีสี ไม่มีตะกอนและสามารถรับประทานได้

น้ำมันมะพร้าวนั้นมีประโยชน์มากมายทั้งต่อร่างกาย และต่อผิวพรรณของเราอย่างไม่น่าเชื่อ 

น้ำมันมะพร้าวใช้เช็ดทำความสะอาดผิวแทนคลีนซิ่งได้ แถมยังช่วยลดสิวอีกด้วย

เนื่องจากน้ำมันมะพร้าวมีโมเลกุลขนาดเล็ก จึงสามารถแทรกซึมทำความสะอาดผิวได้อย่างล้ำลึก ช่วยลดการเกิดสิว ฝ้า และการสะสมของสารเคมีจากเครื่องสำอาง ช่วยทำความสะอาดรูขุมขน ทำให้รูขุมขนกระชับ เต่งตึง ผิวหน้าเนียนใส และช่วยขจัดสิ่งอุดตันที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว อย่างได้ผล

ใช้น้ำมันมะพร้าวทาผิวแทนครีมกันแดด

คุณสมบัติของน้ำมันมะพร้าวสามารถกันแดดอ่อนๆได้ถึง SPF 25 และยังสามารถลดการอักเสบของผิวที่เกิดจากการไหม้แดดเนื่องจากถูกแสงแดดเป็นเวลานานได้ 

น้ำมันมะพร้าวแทนครีมบำรุงผิวกลางคืน

เพราะมีวิตามินจากธรรมชาติที่ใกล้เคียงกับน้ำหล่อเลี้ยงผิว  จึงเป็นสารเติมเต็มให้ผิวได้โดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ วิธีการใช้ คือ ให้ทาและนวดผิวด้วยน้ำมันมะพร้าวเพียงเล็กน้อย เพื่อให้ค่อยๆซึมลงสู่ผิวหนัง และทิ้งไว้โดยไม่ต้องล้างออก หากมีความมันมากเกินให้ซับออกด้วยกระดาษ เพื่อลดความมันออกบางส่วน

ใช้น้ำมันมะพร้าวในการหมักเส้นผม เพื่อให้ผมมีสุขภาพแข็งแรง เงางาม ลดการขาดหลุดร่วง

เพราะในน้ำมันมะพร้าวมีสารแอนตี้ออกซิเดนท์ที่อยู่ในวิตามิน E ที่ช่วยทำให้เส้นผมนุ่มสลวย เป็นเงางาม และแถมยังไปช่วยบำรุงหนังศีรษะให้มีความแข็งแรง และเสริมสร้างการเจริญเติบโตของเส้นผม รวมทั้ง ยังไปทำลายเชื้อโรคที่สะสมอยู่บนหนังศีรษะ ที่ทำให้เกิดเป็นรังแคอีกด้วย

ลดน้ำหนักด้วยน้ำมันมะพร้าว

การบริโภคน้ำมันมะพร้าวจะช่วยทำให้ร่างกายเกิดความร้อน ทำให้มีอัตราการเผาผลาญอาหาร หรือเมตาบอลิซึมสูง จึงเกิดเป็นพลังงานสำหรับใช้ในการดำรงชีวิต ช่วยทำลายไขมันที่ร่างกายสะสมอยู่และนำไปใช้เป็นพลังงานทดแทน

ดีท๊อกร่างกายด้วยน้ำมันมะพร้าว

เพราะน้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติเป็นยาฆ่าเชื้อโรคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อยีสต์ เชื้อไวรัส โปรโตซัว โดยไม่ทำให้เกิดอาการดื้อยาของเชื้อโรคและสามารถช่วยฆ่าเชื้อโรคบางชนิดที่เกราะไขมันห่อหุ้มเซลล์ ซึ่งยาปฏิชีวนะทั่วไปไม่สามารถฆ่าได้


วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2559

การป้องกันการเกิด ฝ้า กระ ไม่ให้เกิดขึ้นบนผิว

ฝ้า กระ เกิดจากการสร้างเม็ดสีเมลานิน (melanin pigment) ที่สะสมในผิวหนังมากผิดปกติ จนทำให้เกิดผื่นสีน้ำตาลเป็นรอยคล้ำ เกิดขึ้น


ปัจจัยที่ทำให้เกิด ฝ้า และ กระ คือ 

  • แสงแดด เพราะแสงแดดมีส่วนประกอบของรังสีอัลตราไวโอเลตชนิด A ( UVA ) และชนิด B ( UVB ) รังสีทั้ง 2 ชนิดนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดฝ้าขึ้น
  • ฮอร์โมนเพศ ชนิดเอสโตรเจน ( Estrogen ) และโปรเจสเตอโรน ( Progesterone ) มีผลทำให้เกิดฝ้าขึ้นได้ โดยการสังเกตุจะพบว่าฝ้าจะเป็นมากขึ้นในสตรีที่รับประทานยาคุมกำเนิดหรือสตรีที่ตั้งครรภ์ และฝ้า มักจะจางลงภายหลังหยุดยาคุมกำเนิดหรือหลังคลอด เพราะเวลาฮอร์โมนเพศหญิงมีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนอย่างรวดเร็ว อย่างเช่น ตั้งครรภ์ ไม่ใช่ฮอร์โมนเพิ่มขึ้นเท่านั้น บางครั้งการที่ฮอร์โมนลดลงอย่างรวดเร็ว ก็ทำให้เกิดฝ้าได้เช่นกัน อย่างช่วงเข้าสู่วัยทอง วัยหมดประจำเดือน ก็มีฝ้าขึ้นได้เหมือนกัน
  • ยา บางชนิดอาจมีส่วนทำให้ฝ้ามีสีคล้ำขึ้น เช่น ยากันชักชนิด diphenylhydantoin 
  • การแพ้เครื่องสำอาง โดยเฉพาะการแพ้น้ำหอมหรือสีที่ผสมอยู่ในเครื่องสำอางนั้นๆ อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดฝ้าได้

ฝ้า และ กระ มีความแตกต่างกันอย่างไร 

ฝ้า โดยทั่วไปแล้ว จะมีลักษณะเป็นปื้นใหญ่สีน้ำตาลอ่อนถึงเข้ม มักเกิดบนบริเวณหน้าผาก โหนกแก้ม แก้ม ดั้งจมูก และบริเวณเหนือริมฝีปากบน 

กระ นั้นมีลักษณะเป็นจุดเล็กๆ สีน้ำตาลไม่นูนมาก มักเกิดขึ้นตรงบริเวณแก้ม พบได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย กระมีหลายชนิด เช่น 

  • กระเนื้อ มีลักษณะเป็นตุ่นสีน้ำตาลขนาดเล็กๆตั้งแต่ 1 มิลลิเมตร จนถึงขนาดใหญ่เป็นเซ็นติเมตร บริเวณที่เกิดกระเนื้อนั้นมีทั้งบริเวณหน้าอก และคอ เป็นทั้งผู้หญิงและผู้ชาย 
  • กระลึก มีลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลหรือดำ โดยมีขนาด 3-5 มิลลิเมตร ไม่นูนขอบเขตไม่ค่อยชัด บริเวณที่เกิดขึ้นมักจะเกิดที่โหนกแก้ม มักพบในผู้หญิง 

วิธีป้องกันการเกิดฝ้า กระ
  • พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ใบหน้าปะทะกับแสงแดดโดยตรง ถึงแม้จะทาผลิตภัณฑ์ป้องกันยูวีอย่างดีแล้วก็ตาม
  • หลีกเลี่ยงการโดนแสงในระยะใกล้ๆ เช่น แสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ แสงจากโคมไฟ หรือแสงไฟสปอร์ตไลท์ เป็นต้น
  • ทาผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 1-2 ครั้ง แม้อยู่ในที่ร่ม
  • หลีกเลี่ยงและงดใช้ผลิตภัณฑ์ทาผิวหน้าที่มีส่วนผสมของน้ำหอม
  • รักษาสุขภาพร่างกาย โดยการพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำให้มากๆ ไม่เคร่งเครียด   

วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2559

วิธีการเลือกทานอาหารเสริม และผลิตภัณฑ์เสริมความงาม

ปัจจุบันมีผู้คนเป็นจำนวนมากได้หันมาให้ความสำคัญ เกี่ยวกับด้านความสวยความงามของรูปร่างและหน้าตามากยิ่งขึ้น จึงไม่แปลกที่ผลิตภัณฑ์เสริมความงามต่างๆ รวมไปถึงอาหารเสริมที่ช่วยบำรุงผิวพรรณและสรีระ จะมียอดขายเพิ่มมากขึ้น


ในการเลือกซื้อหรือเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทุกครั้งจึงเป็นสิ่งที่ควรระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะถ้าหากสินค้าที่เรานำมาใช้นั้น เกิดข้อผิดพลาดหรือมีสิ่งอันตรายเจือปนรวมอยู่ด้วย อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อผิวหนังและร่างกายของเราได้อย่างรุนแรง

วิธีการเลือกซื้อเลือกใช้ผลิตภัณฑ์และอาหารเสริม

1. ควรหาเครื่องหมาย อย. ที่อยู่บนฉลากผลิตภัณฑ์ก่อนซื้อทุกครั้งว่ามีหรือไม่ เพราะเครื่องหมาย อย. เป็นมาตรฐานในระดับหนึ่งว่า ผลิตภัณฑ์สุขภาพเหล่านั้นมีคุณภาพมาตรฐานและปลอดภัย มีการส่งเสริมพฤติกรรมการบริโภคที่ถูกต้องด้วยข้อมูลวิชาการที่มีหลักฐาน เชื่อถือได้และมีความเหมาะสม เพื่อให้ประชาชนได้บริโภคผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ปลอดภัย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัยเลย 100%

2. ร้านที่จำหน่ายสินค้า ต้องมีแหล่งที่มา มีหน้าร้าน มีโรงงาน ที่สามารถตามได้ และต้องเป็นร้านที่ดูแล้วมีความหน้าเชื่อถือด้วย

3. ทดสอบผลิตภัณฑ์ก่อนการใช้ทุกครั้งเสมอ เพราะอาการแพ้ครีม อาทิเช่น ผดผื่นขึ้นเป็นเม็ดเล็กๆ สิวเห่อทั่วผิว มีสิวเยอะหลังจากหยุดใช้ อาการเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นบ่อยครั้งและมักพบในผู้ที่มีผิวบาง ซึ่งมีสาเหตุมาจากการใช้ครีมที่ไม่เหมาะสมต่อสภาพผิวหรือครีมที่มีสารอันตราย ดังนั้นเมื่อเปลี่ยนครีมที่ใช้อยู่หรือซื้อครีมยี่ห้อใหม่มาใช้ ควรทดสอบการอาการแพ้ครีมก่อนทุกครั้ง

4. การกินวิตามิน และอาหารเสริม แม้การเสริมมัลติวิตามินและแร่ธาตุจะให้ประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่อาหารเสริมแต่ละยี่ห้อจะมีส่วนประกอบในปริมาณแตกต่างกัน แต่ถ้ามีองค์ประกอบวิตามินบางตัวมากเกินไปก็เป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ โดยเฉพาะถ้ามีวิตามินชนิดที่ละลายในไขมัน (วิตามินเอ ดี อี เค), วิตามินที่ละลายในน้ำ (บี1, บี2, บี6, บี12, ซี) เกินขนาด เพราะร่างกายขจัดส่วนเกินของวิตามินเหล่านั้นออกจากร่างกายได้ยาก ดังนั้นก่อนกินวิตตามินหรืออาหารเสริมทุกครั้ง ควรอ่านและศึกษาปริมาณที่ควรบริโภคก่อนว่า ควรทานในปริมาณที่เท่าไรต่อ 1 วัน


วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2559

เคล็ดลับการถนอมดวงตาให้สดใส น่ามอง

ดวงตาเป็นอวัยวะที่สำคัญต่อการมองเห็น และการรับรู้สิ่งต่างๆบนโลก ดวงตานั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรปล่อยปละละเลยต่อการดูแล เพราะดวงตามีความอ่อนโยนและบอบบางอย่างมาก จึงจำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาเ­ป็นพิเศษ


ปัจจุบันเราต้องใช้ดวงตาอย่างหนักมาก เพื่อปฎิบัติหน้าที่ในการทำงานของแต่ละวัน โดยเฉพาะการทำงานที่ต้องจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ซึ่งนั้นจะทำให้ดวงตาของเรานั้นได้รับผลกระทบจากแสงโดยตรง การดูโทรทัศน์ในระยะใกล้ๆ หรือแม้แต่การใช้สายตาจองจอมือถือตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่จะทำให้ดวงตาของเราเสื่อมขึ้นทุกที 

การถนอมดวงตานั้นสามารถทำได้ง่ายๆ

พักสายตาเป็นระยะๆ หรือพักสายตาทุกๆ 10 นาที ด้วยการเปลี่ยนไปมองวัตถุที่อยู่ไกลๆประมาณ 20 ฟุต โดยใช้เวลาในการมอง 2-3 นาที แล้วค่อยหันกลับมามองจอคอมพิวเตอร์ต่อ หรือจะพักสายตาด้วยการมองอะไรที่เป็นสีเขียวๆก็ได้ เพราะสีเขียวจะช่วยผ่อนคลายความเมื่อยล้าทางสายตา ถ้าหากรู้สึกปวดตาหรือสายตาอ่อนล้า แต่ในที่ๆนั้นไม่มีสีเขียวให้มอง ให้เรามองทอดสายตาออกไปแบบไม่ต้องโฟกัสอะไรเลย ก็จะช่วยผ่อนคลายสายตาได้อีกทางหนึ่ง

ทำความสะอาดรอบดวงตา การทำความสะอาดบริเวณรอบดวงตาอย่างถูกวิธี สามารถช่วยลดการอักเสบบริเวณรอบดวงตา และช่วยทำความสะอาดสิ่งสกปรกต่างๆ และฝุ่นละออง ไม่ให้อุดตันต่อมไขมันบริเวณเปลือกตา

ไม่ควรใช้น้ำยาล้างตาบ่อยๆ เพราะตาเรามีวิธีรักษาความสะอาดตัวเองโดยธรรมชาติอยู่แล้วคือ นํ้าตา ซึ่งน้ำตาจะขับออกมาจากต่อมน้ำตา มากขึ้นเมื่อมีสิ่งแปลก ปลอมเข้าตา เพื่อชะล้างสิ่งแปลกปลอมนั้นออกมา การล้างตาเป็นประจำจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะกระทำ เพราะเป็นการล้างเอานํ้าตาธรรมชาติซึ่งมีประโยชน์มากกว่าออกไป แต่หากเกิดมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปที่ตาแล้ว นํ้าตาธรรมชาติไม่สามารถชะล้างออกมาได้ เราถึงสามารถจัดการกับสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้นโดยการใช้วิธีล้างตาได้

ทานผักผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีนเยอะๆ เพราะเบต้าแคโรทีนเป็นสารตั้งต้นของวิตามินA ซึ่งจะถูกเปลี่ยนเป็นวิตามินAได้เองเมื่อร่างกายเราต้องการจะใช้ แต่ก็ไม่ได้ถูกเปลี่ยนเป็นวิตามินAซะหมด โดยส่วนที่ไม่ถูกเปลี่ยนเป็นวิตามินAนั้น จะกลายเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งทำให้ร่างกายคงสภาพความแข็งแรง อ่อนเยาว์ไว้ได้ ทำให้ป้องกันการเสื่อมสภาพของอวัยวะต่างๆในร่างกาย จากการถูกทำลายของอนุมูลอิสระ และเบต้าแคโรทีนนี้จะพบมากในพืชที่มีสีเหลืองหรือสีส้ม ถ้าเป็นผักก็จะพบในผักสีเขียว เช่น แครอท ฟักทอง ข้าวโพด แคนตาลูป มะละกอสุก บร๊อคโคลี่ คะน้า ตำลึง ฯลฯ

สวมแว่นกันแดดเมื่อต้องเจอแสงจ้า เพราะรังสีอัลตราไวโอเลตหรือรังสียูวีในแสงแดดนั้น เป็นอันตรายต่อดวงตาอย่างมาก หากได้รับรังสียูวีโดยที่ไม่มีอุปกรณ์ป้องกัน สิ่งที่จะเกิดขึ้นในเวลาสั้นๆ คือ กระจกตาอักเสบ มีอาการแสบตา น้ำตาไหล แพ้แสง ตาแดงเกิดขึ้น และผลกระทบที่จะเกิดในระยะยาว คือ เกิดต้อเนื้อ ต้อลม หรือ ต้อกระจก นั่นเอง


วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2559

กำจัดกลิ่นตัวให้หายเหม็น


ปัญหากลิ่นตัวแรง ตัวมีกลิ่นอับ อาบน้ำยังไงสุดท้ายกลิ่นก็กลับมาเหมือนเดิม ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่แค่เพียงจะสร้างความหนักใจให้กับตัวเราเองเท่านั้น แต่ยังพลอยทำให้คนที่อยู่ข้างๆต้องมาถอยหากเราออกไปอีก


กลิ่นตัวเกิดจากอะไร

กลิ่นตัว เกิดขึ้นจากเหงื่อของคนเราที่ไหลออกมาจากรูขุมขม แล้วมาผสมกับเชื้อจุลินทรีย์ที่อยู่บนผิวหนัง ในขณะเดียวกันที่เหงื่อไหลออกมานั้น ก็จะขับทั้งไขมันโปรตีนหรือแป้งจากอาหารที่เรากินออกมาด้วย ทำให้เกิดปฏิกิริยากับเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ทั่วไปบนผิวหนังและในอากาศ จนส่งเป็นกลิ่นเหม็นออกมาในที่สุด โดยเฉพาะบริเวณที่มีขนเยอะๆกลิ่นเหงื่อก็ยิ่งจะแรงเป็นพิเศษ การทานอาหารที่มีผลต่อการทำให้เกิดกลิ่นตัวเช่นกัน โดยเฉพาะการทานเครื่องเทศต่างๆ กระเทียม หัวหอม หรือสารอาหารประเภทไขมัน นม เนย ที่มีกรดไขมันสูง

ร่างกายของคนเรานั้นมีต่อมเหงื่อ 2 ชนิด คือ

  • ต่อม eccrine ซึ่งเป็นต่อมเหงื่อชนิดที่ไม่มีกลิ่น มักจะอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และจะผลิตเหงื่อที่มีลักษณะใสเหมือนน้ำ เหงื่อชนิดนี้จะถูกขับออกมาเมื่อทำกิจกรรมหนัก ๆ หรืออยู่ในภาวะอากาศร้อน ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยรักษาอุณหภูมิร่างกายให้คงที่
  • ต่อม apocrine ซึ่งเป็นต่อมเหงื่อที่มีกลิ่น ซึ่งมักจะกระจายตัวอยู่บางแห่งของร่างกาย โดยเฉพาะตามรูขุมขนบนหนังศีรษะที่จะมีมากที่สุด รองลงมาคือตามรักแร้ ขาหนีบ ก้น และแผ่นหลัง เหงื่อชนิดนี้จะมีลักษณะเหนียวใสคล้ายขี้ผึ้ง มีส่วนผสมของไขมันอยู่มาก

ปกติคนแต่ละคนจะมีกลิ่นกายที่เป็นกลิ่นประจำตัวของตัวเองซึ่งจะไม่เหมือนกัน เช่นเดียวกับเสียงที่แต่ละคนจะมีมีแตกต่างกัน

วิธีการขจัดกลิ่นตัว

  • รักษาความสะอาด โดยการอาบน้ำให้ร่างกายสะอาด 
  • กินอาหารพวกธัญพืชต่างๆ ผักสด ผักใบเขียวและผักใบเหลือง ผลไม้สด รวมไปถึงกินอาหารที่มีธาตุสังกะสี หรือแมกนีเซียม เช่น อาหารทะเล ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท เป็นต้น
  • การทานโยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยวจะช่วยบรรเทาอาการ กลิ่นตัว เหม็นได้เนื่องจากแล็กโตบาซิลลัสที่มีอยู่จะช่วยทำให้ทีเอ็มเอเกิดได้น้อยลง
  • เลี่ยงการกินอาหารที่มีกลิ่นฉุนกลิ่นแรง อาหารที่ทำให้เกิดทีเอ็มเอ เช่น ไข่แดง ตับ ถั่ว เนื้อสัตว์ สะตอ และทุเรียน
  • ห้ามใช้สบู่ต้านแบคทีเรียหรือทำสครับขัดถูผิวเพื่อขจัดสิ่งสกปกนานเกินไป เพราะจะทำให้ผิวแห้ง แตก จนทำให้ร่างกายต้องขับเหงื่อออกมามากกว่าเดิม
  • ยาทารักษาสิว ที่มีส่วนผสมของ Benzoyl Peroxide มีผลข้างเคียงที่ทำให้ร่างกายมีกลิ่นตัว
  • สวมเสื้อผ้าที่สะอาด และพยายามอย่าใส่เสื้อผ้าใยสังเคราะห์หรือเสื้อผ้าหนา เพราะจะระบายเหงื่อได้ช้า ทำให้เกิดความอับชื้น ส่งผลทำให้เกิดกลิ่นตัวได้
  • หลีกเลี่ยงสภาพอากาศที่ร้อนชืน หรือร้อนอบอ้าว เพราะจะทำให้เชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังเพิ่มจำนวนมากขึ้นเป็นพิเศษ



วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ดื่มน้ำต่างเวลา ได้ประโยชน์ต่างกัน

การดื่มน้ำสะอาดเป็นการดูแลสุขภาพที่ดีอย่างหนึ่ง เพราะน้ำเปล่ามีประโยชน์และมีความจำเป็นอย่างมากต่อร่างกายร่างกายของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำเปล่าธรรมดาที่อยู่ในอุณหภูมิห้องที่มีความร้อนพอเหมาะ เพราะน้ำจะช่วยเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการไหลเวียนของเลือดไปหล่อเลี้ยงตามเซลล์ต่างๆในร่างกาย ส่งผลให้ระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆเป็นปกติ



ประโยชน์ของการดื่มน้ำ

ดื่มน้ำอุ่นทุกวันจะช่วยให้ร่างกายได้ขับถ่ายของเสียออกมาในรูปแบบต่างๆ เช่น ปัสสาวะ อุจจาระ ขี้มูก ขี้ตา และเหงื่อไคล เป็นต้น 
ช่วยลดแก๊สในกระเพาะอาหาร และยังช่วยกระตุ้นระบบขับถ่ายของเราให้ทำงานเป็นปกติ
การจิบน้ำอุ่นเป็นประจำทุกวัน จะช่วยให้ร่างกายไม่สะสมเชื้อโรคไวรัสและแบคทีเรีย ที่สามารถนำไปสู่อาการเจ็บป่วยต่าง ๆ
การดื่มน้ำอุ่นจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดในเซลล์ผิวหนังทั่วทั้งร่างกาย ส่งผลให้เรามีผิวพรรณที่เปล่งปลั่ง เส้นผมเงางาม มีน้ำหนัก ไม่มีปัญหาเรื่องหนังศีรษะ


ต่อไปเรามาดูกันดีกว่าว่าในระหว่างวัน เราควรดื่มน้ำในเวลาไหนบ้าง

การดื่มน้ำอุ่นตอนท้องว่างหลังตื่นนอนใหม่ๆ 2-3 แล้ว จะดีต่อระบบย่อยอาหาร ช่วยในการดีท็อกซ์ของลำไส้ ช่วยปรับสมดุลต่อมน้ำเหลืองในร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยงต่ออาการอักเสบต่างๆ ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มให้ทำงานเป็นปกติ และยังช่วยกำจัดไขมันส่วนเกิน นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ผิวพรรณผ่องใส ห่างไกลโรคผิวหนัง ลดการเกิดฝ้า กระ และริ้วรอยแห่งวัย ได้เป็นอย่างดี

ดื่มน้ำก่อนทานมื้ออาหาร 15-30 นาที ขณะที่ท้องว่างแร่ธาตุจะถูกดูดซึม ทำให้ระบบย่อยทำงานช่วยให้ระบบการย่อยดีขึ้น ผู้ที่ต้องการจะลดน้ำหนักให้ดื่มน้ำปริมาณ 1-2 แก้ว

ดื่มน้ำหลังทานอาหารเสร็ 40 นาที ทานน้ำได้ไม่เกินครึ่งแก้ว ในที่นี้หมายรวมถึงซุป น้ำแกง และของเหลวทุกประเภท

ดื่มน้ำก่อนการอาบน้ำ จะช่วยให้ความดันของเลือดลดน้อยลง 

การดื่มน้ำหลังการอาบน้ำเสร็จ จะช่วยลดความเข้มข้มของเลือดให้น้อยลง และเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ร่างกาย เพราะขณะที่เราอาบน้ำ ร่างกายของเราก็จะเสียความชุ่มชื่นออกมาทางผิวหนังด้วย

ดื่มน้ำก่อนนอน 1 ชั่วโมง เพื่อให้น้ำที่ดื่มไหลเวียนชะล้างสิ่งตกค้างในลําไส้และกระเพาะอาหาร นอกจากนี้การดื่มอุ่นน้ำก่อนนอนยังช่วยผ่อนคลายทำให้นอนหลับสบายยิ่งขึ้น.



วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2559

5 เคล็ดลับดูแลผิวยังไงไม่ให้โทรม สำหรับคนนอนดึก

สำหรับสาวๆคนไหนที่ชอบนอนดึกและไม่อยากให้หน้าโทรมต้องอ่านด่วนๆ เพราะการอดนอน นอนดึก นั้น นอกจากจะทำร้ายสุขภาพร่างกายแล้ว ยังทำลายสุขภาพของผิวพรรณของเราอีกด้วย 


ดังนั้นใครที่รู้ตัวว่าต้องนอนดึกอย่างที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วละก็ เราควรที่จะหันมาเตรียมพร้อมกับการรับมือดีกว่าว่า ควรบำรุงและดูแลผิวยังให้ผิวพรรณสดใส จะนอนดึกนอนช้ายังไง หน้าก็ใส ดูยังไงก็ไม่โทรม

ดูแลผิวก่อนเข้านอน

ควรทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาดหมดจดก่อนที่จะเข้านอนทุกครั้ง เพราะการทำความสะอาดผิวหน้าเวลากลางคืน จะช่วยลดการผลิตน้ำมัน และลดแบททีเรียที่เจริญเติบโตอยู่ภายในรูขุมขนได้ อีกทั้งการล้างหน้ายังช่วยขจัดคราบเครื่องสำอาง ฝุ่น สิ่งสกปรกต่างๆออกจากผิว ทำให้ผิวไม่เกิดการอุดตัน รูขุมขนไม่กว้าง ผิวหน้าสามารถซ่อมแซ่มตัวเองได้ดีขึ้น

ทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหลังจากล้างหน้าเสร็จทุกครั้ง เพื่อให้ครีมบำรุงเข้าไปช่วยฟื้นฟูและซ่อมแซ่มเซลล์ผิว เพื่อให้ผิวปรับสภาพได้เร็วยิ่งขึ้น

มาร์คหน้าหรือพอกหน้าก่อนนอน เพราะการมาส์กหรือพอกหน้านั้นจะให้คุณค่าการบำรุงผิวมากกว่าสกินแคร์ธรรมดาทั่วไป และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเยียวยาปัญหาผิวที่เป็นอยู่ให้หายไปอย่างรวดเร็วทันใจกว่าการใช้สกินแคร์บำรุงผิวธรรมดา

ดูแลผิวหลังการตื่นนอน

ล้างหน้าด้วยน้ำเย็น จะสามารถช่วยกระชับรูขุมขนได้ โดยหลังจากที่ล้างหน้าด้วยโฟมหรือสบู่ล้างหน้าแล้วให้ล้างด้วยน้ำเย็นอีกครั้ง จากนั้นลองใช้น้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบบนใบหน้าดู รูขุมขนก็จะเล็กลง

การทาครีมกันแดด จะช่วยปกป้องการทำลายเซลล์ผิวหนัง จากรังสีอุลตร้าไวโอเลตในแสงแดด ซึ่งเป็นต้นเหตุของมะเร็งผิวหนัง และยังทำให้เกิดการสร้างเม็ดสีใต้ผิวหนัง 

ดื่มน้ำเปล่าและน้ำผลไม้เยอะๆจะทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น เพราะในน้ำผักผลไม้เป็นน้ำดื่มที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด การดื่มน้ำผักผลไม้เป็นประจำจะช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง และช่วยทำให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งสดใสได้ เพราะผักผลไม้หลายชนิดจะอุดมไปด้วยวิตามินซีและวิตามินอี ซึ่งเป็นอาหารผิวที่มีส่วนช่วยบำรุงผิวพรรณ ทำให้ผิวดูมีสุขภาพดีและเรียบเนียน

สวมแว่นกันแดด เพราะแวนกันแดดสามารถปัองกันการทำลายดวงตาจากแสงยูวีได้อย่างถาวร ป้องกันการเสื่อมสภาพของดวงตาทั้งโรคต้อกระจก ต้อเนื้อ และการทำลายจอประสาทตา

แต่งหน้าอ่อนๆ จะช่วยให้ผิวหน้าของเราดูสดใส มีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น ทำให้ไม่ดูซีดหรือดูโทรม


สำหรับใครที่หลีกเลี่ยงการนอนดึกไม่ได้จริงๆ ลองเอาวิธีนี้ไปใช้ดูนะค่ะ รับลองได้ว่าช่วยให้ผิวพรรณดูสดใส ไม่ดูโทรม ได้อย่างแน่นอนคะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะนอนดึกทุกๆคืนละ เพราะว่าร่างกายที่ดีและผิวพรรณที่จะแข็งแรงได้ ร่างกายต้องได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ก่อน


วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2559

8 อาหารต้านสิว กินแล้วผิวใส


ในการดูแลผิวพรรณไม่ให้เกิดสิวด้วยการเลือกทานอาหารที่ดีนั้น ก็สามารถช่วยแก้ปัญหาได้ดีอีกทางหนึ่ง เพราะว่าการทานอาหารบางชนิดที่มีค่าน้ำตาลสูง อาหารประเภทแป้ง หรือ คาร์โบไฮเดรต นั้นก็เป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้มีการเกิดสิวขึ้นได้ แต่ก็พบว่าอาหารบางชนิดที่เมื่อทานเข้าไปแล้ว หรือนำมาสกัด นำมาทาหรือพอกทิ้งไว้บนผิว ก็สามารถช่วยลดอาการอักเสบ ช่วยในการฆ่าเชื้อ ช่วยสมานแผล หรือลดรอยด่างดำต่างๆที่เกิดจากสิวได้เช่นกัน


เรามาดูกันดีกว่าว่ามีอาหารอะไรบ้างที่เมื่อทานเข้าไปแล้วสามารถลดสิว ลดการอักเสบของสิว และลดการเกิดของสิวไม่ให้ขึ้นมาใหม่ได้

ถั่วเขียว ( Green beans )

ถั่วเขียวอุดมไปด้วยแมกนีเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่ช่วยในการทำงานของระบบเผาผลาญในร่างกาย ช่วยผลิตโปรตีน และกาดหดตัวข้องกล้ามเนื้อ ช่วยลดระดับไขมันและคอเลสเตอรอล ช่วยควบคุมระดับไขมันในเลือด ควบคุมน้ำหนักได้ เพราะถั่วเขียวมีส่วนประกอบของไขมันที่ต่ำมาก ไม่มีคอเลสเตอรอล และยังอุดมไปด้วยโปรตีนกับเส้นใยอาหาร ช่วยแก้ลำไส้อักเสบ ช่วยแก้ผดผื่นคัน การใช้ถั่วเขียวดิบหรือต้มสุก นำมาใช้ตำแล้วพอกสามารถใช้เป็นยารักษาภายนอกช่วยในการบ่มหนอง สิว ให้สุก และแห้งเร็วขึ้น

ผักใบเขียว ( Greens )

ในผักใบเขียวนั้นมีทั้งคลอโรฟิลและวิตามินเอที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและผิวมาก การทานผักใบเขียวในแต่ละครั้งนอกจากจะช่วยย่อยอาหารให้ง่ายขึ้นแล้ว ยังสามารถช่วยต่อต้านสิว ริ้วรอย และลดการอักเสบของผิว รวมทั้งทำให้ผิวแข็งแรงทนต่อแสงแดดที่มาทำลายได้ดีขึ้น

ชาเขียว ( Green tea )

ในใบชาเขียวจะมีสารประกอบของฟีนอล (Phenolic compound) อยู่มาก เนื่องจากไม่ได้ผ่านขั้นตอนการหมัก จึงทำให้ชาเขียวมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง ส่วนสารสำคัญที่พบได้ในชาเขียว ประกอบไปด้วย กรดอะมิโน วิตามินบี วิตามินซี วิตามินอี สารในกลุ่ม xanthine alkaloids คือ คาเฟอีน และธิโอฟิลลีน ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง โดยคาเทชินที่พบได้มากและมีฤทธิ์ทรงพลังที่สุดในชาเขียว คือ สารอีพิกัลโลคาเทชินกัลเลต ซึ่งมีความสำคัญในการออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ลดริ้วรอยก่อนวัย นอกจากนี้ใบชาเขียวยังมีสารสารพอลิฟีนอลส์ที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียถึง 30% ลดการผลิตของสารประกอบที่เป็นสาเหตุทำให้ลมหายใจเหม็นบูด ช่วยในการเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่เซลล์ผิว อีกทั้งยังทำหน้าที่ขับล้างสารพิษออกจากร่างกาย ทำให้ผิวหนังของเราแข็งแรงขึ้น

แตงกวา ( Cucumber )

แตงกวาอุดมไปด้วยสารสำคัญหลายชนิดที่มีผลต่อการสร้างเสริมสุขภาพผิวที่ดี และเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์ที่ให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติหรือ Natural Moisturizing Factors (NMFs) และยังมีกรดอะมิโนซีสทีน (Cystine) และเมไธโอนีน (Methionine) ที่ช่วยทำให้เกิดความยืดหยุ่นแก่ผิว จากผลงานวิจัยพบว่าแตงกวามีฤทธิ์ฆ่าเชื้ออ่อน ๆ ในการช่วยยับยั้งแบคทีเรีย กระตุ้นลำไส้เล็กและมดลูกให้หดตัว ทรีทเม้นท์ที่ทำจากแตงกวายังช่วยลดรอยเหี่ยวย่น ลดสิว ลดจุดด่างดำ ช่วยบำรุงทำให้ผิวหน้าอ่อนเยาว์ เพิ่มความชุ่มชื้น ไม่ทำให้หน้ามัน ทำให้ผิวขาวใส ช่วยบำรุงดวงตา แก้ปัญหาขอบตาคล้ำ ตาบวมด้วย

มะนาว ( Lemon )

ในน้ำมะนาวจะประกอบด้วย กรดมะนาว หรือ กรดซิตริก (citric acid) ซึ่งเป็นกรดที่ทำให้มะนาวมีรสเปรี้ยว และกรดผลไม้ AHA หรือ Alpha Hydroxy Acids ทำงานโดยการลอกเอาเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก ช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้แก่ผิว และช่วยให้เซลล์ผิวใหม่ที่อยู่ด้านล่างได้ผลัดขึ้นมาแทนที่เซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้ว ยังช่วยชำระรูขุมขนและช่วยให้ผิวรู้สึกสดชื่น สดใส กรดนี้จะเป็นกรดอ่อนๆ แต่หากนำมาทาตรงบริเวณผิวจะช่วยให้เนื้อเยื่อที่ตายแล้วที่หลงเหลือหลุดออกไป ทำให้ลดการอุดตันของรูขุมขน ช่วยกำจัดเชื้อโรคและไขมันให้ลดลง

แตงโม ( Watermelon )

แตงโม ถือว่าเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพอีกชนิดก็ว่าได้ เพราะในเนื้อของแตงโมนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายมากมายหลายชนิด เช่น วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินบีรวม แคลเซียม เหล็ก แมกนีเซียม โพแทสเซียม และฟอสฟอรัส เป็นต้น วิตามินและแร่ธาตุมากมายเหล่านี้เมื่อทานเข้าไปอยู่ในร่างกายแล้ว จะช่วยเพิ่มเบต้าแคโรทีนที่ร่างกายเอาไว้ใช้ในการสร้างวิตามินเอ ช่วยป้องกันการติดเชื้อ ช่วยไม่ให้ร่างกายมีการสะสมของกรดยูริคมากเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคไขข้อ โรคเกาต์ ในแตงโมยังมีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา และวิตามินซี ช่วย ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันช่วยชะล้างของเสียในกระเพาะและไตขับออกมาทางปัสสาวะ

มะเขือเทศ ( Tomato )

อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุอยู่หลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเช่น วิตามินซี วิตามิเอ วิตามินเค วิตามินพี วิตามินบี1 วิตามินบี2 ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก และยังมีสารจำพวก ไลโคพีน ( Lycopene ) แคโรทีนอยด์ เบต้าแคโรทีน และ กรดอะมิโน ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณให้แข็งแรง ชุ่มชื้น ช่วยลดริ้วรอยก่อนวัย และที่สำคัญมะเขือเทศยังช่วยในการรักษาสิวได้อีกด้วย โดยการทานหรือนำเนื้อมะเขือเทศมาพอกผิวหน้าหรือฝานบางๆแล้วนำมาแปะหน้านั่นเอง

น้ำมันมะกอก ( Olive oil )

ในน้ำมันมะกอกมีสาร โอลีโอแคนธัล ที่สามารถป้องกัน ต้าน และลดการอักเสบของสิวที่เกิดได้ แต่จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการรักษา และต้องทานน้ำมันมะกอกอย่างเสม่ำเสมอ นอกจากนี้น้ำมันจากธรรมชาติบริสุทธิ์ ยังสามารถซึมซาบสู่ผิวได้เป็นอย่างดี ทำให้เซลล์ผิวพรรณอิ่มน้ำ ชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง และยังช่วยกระตุ้นระบบการไหลเวียนเลือด ช่วยขับล้างสารพิษในร่างกาย



วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2559

สูตรลับผิวหน้าเนียน ขาวใส รูขุมขนกระชับ ด้วยกากกาแฟ

รู้หรือไม่ว่า กากกาแฟนั้นมีประโยชน์ที่สามารถช่วยให้ผิวหน้าที่หมองคล้ำ ดำเสีย ไม่สดใส กลับมามีผิวที่ขาว เนียน กระชับขึ้นได้ และยังช่วยต่อต้านริ้วรอยต่างๆที่เกิดก่อนวัยอีกด้วย

กากกาแฟ (Ground coffee) คือ ส่วนที่เหลือของกาแฟคั่วหรือบด ที่เหลือจากการนำไปเค้นเอาน้ำไว้ชง

ประโยชน์ของกากกาแฟต่อผิว

  • มีสารที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ จึงสามารถทำให้ริ้วรอยต่างๆบนใบหน้าที่มีลดเลือนลงได้
  • ช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วให้หลุดออก และช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาทดแทน ทำให้
  • ช่วยขจัดไขมันบนผิวหน้าให้ลดลง ลดการเกิดของสิว ผิวหน้าไม่มัน 
  • ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้ผิวหน้าสดใส มีเม็ดเลือดฝาด
  • สามารถช่วยขจัดสารพิษให้กับผิวชั้นนอก และยังช่วยในการดูดซับสิ่งสกปรกต่างๆภายในรูขุมขน
  • ผิวหน้าขาว สว่างใสขึ้น เรียบเนียน จุดด่างดำต่างๆจางลง

การเลือกกากกาแฟหรือก่อนนำกากกาแฟมาขัดผิวทุกครั้ง ควรสังเกตุสักนิดว่ามีเชื้อราเกิดขึ้นหรือเปล่า เพราะเนื่องจากในกากกาแฟนั้นมีความชื้นอยู่มาก หากตอนนำมาเก็บรักษาไม่ได้มีการตากให้แห้งจนสนิด อาจทำให้กากกาแฟนั้นเกิดเชื้อราขึ้นได้


การสครับผิวด้วยกากกาแฟนั้น ควรทำเพียงอาทิตย์ละ 2 ครั้ง เท่านั้น เพื่อไม่ให้ผิวบอบบางจนเกินไป และหลังจากสครับเสร็จใหม่ๆควรหลีกการเผชิญแสงแดดจัด เพราะผิวต้องใช้เวลาสักระยะเพื่อที่จะฟื้นฟูให้แข็งแรง


สูตรกากกาแฟสครับผิวหน้า เพื่อผิวหน้าขาว เนียน ใส รูขุมขนกระชับ 

กากกาแฟ+โยเกิร์ต+น้ำผึ้ง 
ผสมกากกาแฟ 1 ช้อนโต๊ะ โยเกิร์ต 2 ช้อนโต๊ะ กับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ เข้าด้วยกันแล้วนำมาขัดนวดวนๆบนผิวหน้า จากนั้นพอกทิ้งไว้ 15 นาที ล้างอออกด้วยนำเปล่า สูตรนี้จะช่วยให่ผิวหน้าเนียน ขาวใส นุ่ม ชุม่ชื่น

กากกาแฟ+มะขามเปียก+ขมิ้น
ผสมกากกาแฟ 1 ช้อนชา เนื้อมะขามเปียก 1 ช้อนชา กับ ขมิ้น ครึ่งช้อนชา แล้วขย้ำให้เข้ากันจากนั้นนำมาขัดนวดเบาๆวนให้ทั่วใบหน้าและลำคอ พอกทิ้งไว้ 10-15 นาที ล้างออกด้วยน้ำเปล่า สูตรนี้จะช่วยทำให้ผิวขาว เนียน สว่างใสขึ้น

กากกาแฟ+ไข่ดาว
ผสมกากกาแฟกับไข่ขาวเข้าด้วยกัน จากนั้นนำมาทานวดวนเบาๆ และพอกหน้าทิ้งไว้ 15-20 นาที สูตรนี้จะช่วยดีท็อกสารพิษออกจากผิวหน้า และผลัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วให้หลุดออก ทำให้ผิวเนียนเรียบ สดใสขึ้น


ประโยชน์ของกากกาแฟที่นอกจากจะสามารถช่วยให้เรามีผิวที่เนียนเรียบ และขาวสว่าง สดใส ขึ้นได้แล้ว กลิ่นของคาเฟอีนที่อยู่ในกากกาแฟนั้น ยังช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสดชื่น ช่วยให้เส้นเลือดขยายตัวใหญ่ เลือดลมจึงสูบฉีดได้ดี ทำให้ผิวดูมีความสดชื่น แลดูมีน้ำมีนวลนั่นเอง