วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

Salicylic Acid (BHA) กับการช่วยรักษาสิว ผิวขาวอย่างเป็นธรรมชาติ

Salicylic Acid (BHA)

ถ้าพูดถึงสิวแล้วเชื่อได้ว่าคงจะเป็นปัญหาหนักใจของใครหลายๆคนเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะสร้างความเจ็บปวดให้กับเราในเวลาที่เป็นแล้ว หลังจากที่สิวยุบตัวลงแล้วยังจะทิ้งริ้วรอยไว้ให้เจ็บใจอีก เป็นปัญหาอันต่อไปที่เราจะต้องหาวิธีแก้กันอีก เราจึงอยากจะแนะนำให้รู้จักกับ Salicylic Acid เป็นสารที่อยู่ในกลุ่ม BHA เป็นสารที่ใช้ในการช่วยรักษาสิว ทำให้ผิวเรียบเนียน และดูกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ หลายคนอาจจะไม่รู้จักและไม่ค่อยคุ้นหูกับเจ้าตัวนี้เท่าไรนัก เรามาทำความรู้จักกับ Salicylic Acid ว่ามันคืออะไร และมีความสามารถช่วยรักษาสิวได้อย่างไรบ้าง มาดูกันเลย

Salicylic Acid คืออะไร?

BHA หรืออีกชื่อคือ Salicylic acid ในกลุ่มที่ช่วยละลาย Keratin (โปรตีนที่เป็นส่วนประกอบของผิวชั้นนอก ผม และเล็บ) ใช้รักษาโรคผิวหนังที่มีผื่นหนา เป็นขุยใช้ใน Chemical peeling เพื่อลดเลือนริ้วรอย และรักษาสิว BHA จากฤทธิ์โดยไปทำให้ Keratin ที่แข็งนุ่มลง ทำให้ผิวที่แห้งเป็นขุยหลุดออกง่าย และลดการอักเสบในสิว BHA ช่วยให้การหลุดลอกของเซลล์เยื่อบุในรูขุมขนช้าลง ป้องกันการอุดตัน และช่วยสลายสิวอุดตันทั้งสิวเสี้ยนชนิดหัวดำและหัวขาว รวมทั้งลดการอักเสบของสิวอักเสบ

ความสามารถของ Salicylic Acid

Salicylic Acid นั้นมีสรรพคุณช่วยลอกผิวชั้นบนของเราได้เป็นอย่างดี หรือที่เรานิยมเรียกว่าการผลัดเซลผิว ซึ่ง Salicylic Acid นั้นมันจะลาลายได้ดีในน้ำมัน และผิวหน้าของเรามีน้ำมันที่รูขุมขนสร้างมาเพื่อใช้รักษาความชุ่มชื้นของผิวทำให้ Salicylic Acid มันสามารถเข้าไปช่วยกำจัดสิ่งอุดตันที่อยู่ในรูขุมขนของเราได้เป็นอย่างดี และด้วยความสามารถนี้เองที่ทำให้ Salicylic Acid สามารถเข้าไปในชั้นผิวที่ลึกได้กว่า AHA เนื่องมาจาก AHA มันละลายในน้ำได้ดีกว่า ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้รักษาสิวอุดตันนิยมผสม Salicylic Acid เข้าไปด้วยนั่นเอง

ความเข้มข้น Salicylic Acid ที่เหมาะสม

โดยปกติแล้วความเข้มข้นของ Salicylic Acid ที่นิยมผสมในเครื่องสำอางค์ต่างๆจะอยู่ที่ 1-2% ซึ่งเป็นความเข้มข้นที่เหมาะสมกับสภาพผิวของมนุษย์ปกติอย่างเรา ทำไมต้องบอกว่าเหมาะกับมนุษย์ปกติ ก็เพราะว่าความจริงแล้วเราสามารถใช้ Salicylic Acid ได้มากว่า 1-2% คือ สามารถใช้ไดสูงถึง 10-20% ทีเดียว ซึ่งหมอมักจะใช้รักษาคนไข้ที่มีปัญหาโรคผิวหนัง เช่น เป็นหูด ตาปลา เป็นต้น

Salicylic Acid หรือ BHA กับการรักษาสิว

หากพูดถึง Salicylic Acid ในการรักษาสิวนั้น Salicylic Acid หรือ BHA จะมีสรรพคุณในการรักษาสิวอุดตันและรอยแผลสิว หรือจุดด่างดำจากสิวได้ดี ก็อย่างที่บอกไว้ว่า Salicylic Acid นั้นมันละลายได้ดีในน้ำมัน มันจึงสามารถเข้าไปชอนไชขจัดสิ่งสกปรกที่อยู่ในรูขุมขนของเราได้ดี นอกจากนี้ Salicylic Acid ยังมีฤทธิ์ที่ช่วยผลัดเซลผิวชั้นบนของเราให้หลุดลอกออกไปก่อนเวลาอันควร ซึ่งนอกจากจะช่วยป้องกันการอุดตันของสิวแล้ว ยังมีผลทำให้รอยสิว จุดด่างดำจากสิวดูจางลงได้อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นยารักษาสิวอุดตันชั้นดีอีกตัวหนึ่งเลยทีเดียว

ข้อจำกัดในการใช้ Salicylic Acid หรือ BHA
  • ข้อห้ามสำหรับ BHA คือ ห้ามทาบริเวณรอบดวงตา ริมฝีปาก ในจมูก หรือบริเวณที่ผิวบอบบาง เช่นจุดซ้อนเร้นรวมทั้งบริเวณผิวที่อักเสบ ติดเชื้อ
  • ผลข้างเคียง ส่วนใหญ่มีอาการคันยิบๆบริเวณที่ทา จึงควรทาเฉพาะบริเวณที่เป็นสิวเท่านั้น (หากมีอาการดังกล่าว ควรล้างออก หรือเลือก%ควรเข้มข้นลดลง) คนที่แพเBHA (Salicylate Allergy) พบได้แต่น้อยจะมีอาการแสบคันมากหลังทา (ส่วนใหญ่จะมีอาการแพ้ Aspirin หรือยาสีฟันที่มีรสเป็นซ่าร่วมด้วย)
  • ข้อควรระวัง ไม่ควรใช้ BHA ร่วมกับยาทาสิวพวก Benzyl Peroxide และ Retinoid โฟมที่มีสคลับ และการขัดผิว

BHA หรือ Salicylic acid นั้นถือเป็นสารที่ช่วยในการรักษาสิวที่ได้ผลดีโดยเฉพาะสิวอุดตัน ปลอดภัยและระคายเคืองน้อยเมื่อเทียบกับยาทาสิวตัวอื่นๆที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน

วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

หน้าเนียนใสปิ๊งได้ในเวลา 15 นาที ด้วยมะเขือเทศลูกเดียว

วันนี้เราจะมาแนะนำวิธีง่ายๆที่สามารถช่วยให้ผิวหน้าที่คล้ำเสียกลับมาสดใสได้ในเวลาสั้นๆ สำหรับสำหรับสาวคนไหนที่มีผิวหน้ามัน หมองคล้ำ ไม่สดใส อยู่ในขณะมาลองเอาวิธีนี้ไปใช้ได้เลย รับลองไม่ผิดหวังแน่นอน



ด้วยคุณค่าและคุณสมบัติของเจ้ามะเขือเทศผลแดงๆ 1 ผล รู้ไหมคะว่ามันมีประโยชน์และสรรพคุณที่หลายอย่างมากมายจนนับไม่ถ้วน

มะเขือเทศ (Tomato) ชื่อในทางวิทยาศาสตร์ Lycopersicon Esculentum Mil  จัดเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่มีผู้คนนิยมมากที่สุดในโลก เพราะในมะเขือเทศมีวิตามินซีในปริมาณที่มาก ซึ่งวิตามินซีเหล่านั้นเป็นสารตั้งต้นของคอลาเจนที่มีส่วนในการดูแลฟื้นฟูผิวให้กลับมาสดใสเต่งตึง และยังช่วยให้ผิวขาวอมชมพูมาจากข้างใน นอกจากมะเขือเทศยังมีวิตามินซีที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพผิว แล้วยังมีสาร Licopersioin ซึ่งมีฤธิ์ในการทำลายเชื่อแบคทีเรียซึ่งเป็นเชื่อที่ก่อให้เกิดสิวอย่างมีประสิทธิภาพ

เนื่องจากในเนื้อและน้ำของมะเขือเทศที่อุดมไปด้วยสารบริสุทธิ์และวิตามินต่างๆที่มากมาย จึงทำให้เราสามารถนำสิ่งเหล่านี้มาช่วยเพิ่มและรักษาความงามให้กับผิวของเราได้นั้นเอง

สูตรผิวสวยด้วยมะเขือเทศ

  • ผ่ามะเขือเทศออกเป็น 2 ซีก แล้วใช้ซีกที่เป็นเนื้อด้านในมาถูวนให้ทั่วผิวหน้า จากนั้นปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างหน้าให้สะอาดด้วยน้ำเย็นจัด ทำเป็นประจำทุกวันก่อนนอน เนื่องจากมะเขือเทศมีวิตามินเอและวิตามินซีสูง จึงสามารถรักษาสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • นำมะเขือเทศมาปั่นรวมกับโยเกิร์ต จากนั้นนำมาพอกหน้าให้ทั่วแล้วปล่อยทิ้งไว้ 30 นาที ทำเป็นประจำทุกสัปดาห์ สูตรนี้จะช่วยคืนความเปล่งปลั่งให้แก่ผิวหน้า
  • น้ำมะเขือเทศมาคั้นเอาแค่เพียงน้ำ จากนั้นนำน้ำมะเขือเทศมาทาให้ทั่วผิวเป็นประจำทุกวัน จะุช่วยให้ความมันที่มีอยู่ผิวหน้าลดลงได้
  • นำเนื้อมะเขือเทศมาคั้นให้เละๆ แล้วนำมาวางพอกทิ้งไว้ที่ใบหน้า 15 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำเปล่า ทำเป็นประจำจะทำให้หน้าเนียนใส อมชมพู

เพียงเท่านี้เราก็สามารถปรับผิวเสียให้กลับมาเป็นผิวใสได้ง่ายๆ แถมยังสามารถทำได้บ่อยและยังไม่เป็นอันตรายต่อผิวอีด้วย หากเพื่อนๆคนไหนมีเวลาว่างก็อย่าลืมลองเอาวิธีดูแลผิวเหล่านี้ไปใช้ดูนะคะ


LYONESSE  
serum & whitening

2 ตัวช่วยเพื่อผิวหน้าขาวสว่างกระจ่างใส นวัตกรรมใหม่ล่าสุดของการบำรุงผิว เพื่อผิวที่เนียนนุ่ม ขาวใส อมชมพู ดุจแก้มเด็ก
โดยคัดสรรค์ส่วนผสมที่มีคุณสมบัติ์พิเศษสามารถเพิ่มพลังอายุไขของผิวให้แข็งแรงขึ้น ปรับตัวต่อสภาวะและให้การปกป้องที่ดีขึ้นแก่ผิว เมื่อต้องเจอกับสภาพอากาศสิ่งแวดล้อมที่โดนทำร้ายต่างๆ อีกทั้งยังช่วยชะลอขบวนการเสื่อมสลายของเซลล์ตามธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิ์ภาพ 

โดยมีใบรับลองจากแพทย์แล้วว่า อ่อนโยน ปลอดภัย ไร้สารอันตรายใดๆ ที่ทำให้ผิวของคุณบอบช้ำ หรือทำร้ายผิวของคุณอย่างแน่นอน คุณจึงมั่นใจได้ว่าผิวของคุณจะสวยใส แข็งแรง และยังมีมีสุขภาพดีได้อย่างไร้กังวน

วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

6 สาเหตุที่ทำให้สิวรักษาไม่หายขาดสักที

สำหรับใครที่รักษาสิวด้วยตนเองหรือว่าไปหาหมอตามคลีนิคแล้ว สิวที่เป็นอยู่ก็ยังคงขึ้นมาซ้ำซาก รักษายังไงก็ไม่หายขาดสักที ซึ่งสิวต่างๆที่เกิดขึ้นนี้อาจเกิดขึ้นจากสาเหตุดังนี้ก็ได้



สาเหตุที่ทำให้สิวรักษาไม่หายสักที

ผิวขาดน้ำ 
การที่ผิวหนังของเราจะมีความชุ่มชื่นที่เป็นปกติได้ ในชั้นขี้ไคลจะต้องมีน้ำมากกว่า 10% ของส่วนประกอบทั้งหมด เพื่อให้ผิวหนังชั้นขี้ไคลสามารถคงคุณสมบัติรักษาหน้าที่ต่างๆไว้ แต่ถ้าหากผิวสูญเสียคุณสมบัติเหล่านี้เพราะขาดน้ำ ขาดความชุ่มชื้น จากสาเหตุใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการอักเสบ ความแห้งของอากาศ การลอกของผิวชั้นหนังกำพร้า ก็จะส่งผลทำให้ผิวเกิดการสูญเสียสมดุล เมื่อผิวสูญเสียสมดุลก็จะส่งผลกระทบต่อผิวหนังในส่วนล้าง ทำให้เกิดผิวหนังที่แห้งมาก สารและเชื้อโรคต่างๆสามารถแทรกซึมเข้าสู่ผิวได้ง่าย ทำให้เกิดการแพ้และติดเชื่อได้ง่ายกว่าปกติ

การล้างหน้าบ่อยๆหรือแม้กระทั้งการล้างหน้าแรงๆ ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หน้าสูญเสียไขมัน ขาดความชุ่มชื้น และเกิดการระคายเคืองทำให้ผิวหน้าเกิดสิวมากขึ้น

สิ่งสกปรกและเชื้อแบคทีเรีย
โดยปกติแล้วผิวหนังของเรานั้นจะมีการผลิตน้ำมันตามธรรมชาติออกมาจากผิว เพื่อคงความชุ่มชื่น รักษาสมดุล และกักเก็บน้ำไม่ให้ระเหยออกจากผิวหนังของเราเอาไว้ และในช่วงขณะที่ไขมันกำลังผลิตน้ำมันออกมานั้นเอง ต่อมไขมันที่ใช้ในการระบายก็จะขยายใหญ่และเปิดกว้างขึ้น หากผิวหนังตรงบริเวณไหนที่มีสิ่งสกปรกหรือเชื้อแบคทีเรียที่ติดตามบริเวณของรูขุมขน หรือลอยมากับอากาศผสมเข้าไปในต่อมไขมันก็จะทำให้เกิดการอุดตัน เกิดการอักเสบ จนทำให้ผิวเกิดเป็นสิวขึ้นได้

ดังนั้นการรักษาความสะอาดจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก ไม่ใช้เฉพาะกับผิวหน้าแต่ต้องดูแลความสะอาดของสิ่งของที่อยู่โดยรอบด้วย เช่น ผ้าเช็ดหน้า/ตัว ที่นอน ปลอกหมอง ผ้าห่ม และความสะอาดภายในบ้านหรือที่อยู่อาศัย เป็นต้น

เครื่องสำอาง
สิวที่เกิดการจากใช้เครื่องสำอาง นั้นเกิดขึ้นได้จาก

  • สารที่ผสมอยู่ในเครื่องสำอางตัวใดตัวหนึ่งหรือมากกว่านั้น ที่ส่งผลทำให้เกิดการระคายเคืองของผิวเกิดขึ้น จนทำให้เกิดการอักเสบอย่างรวดเร็ว 
  • เครื่องสำอางบางตัวที่ใช้อยู่เกิดไปอุดตันบริเวณรูขุมขน ทำให้ไขมันหรือสิ่งต่างๆไม่สามารถระบายออกมาทางรูขุมขนได้ตามปกติ จึงทำให้เกิดเป็นสิวอักเสบ สิวหนองเกิดขึ้น

ความเคลียด
เมื่อคนเราเกิดความเครียดและความกดดัน ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนอดรีนาลินออกมามากกว่าปกติ และมีการสร้างฮอร์โมนคอร์ติโซล (CORTISOL) ออกมาร่วมด้วย ซึ่งทำให้มีการผลิตไขมันที่เพิ่มมากขึ้น จนทำให้เกิดเป็นสิวตามมาในที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นความเครียดยังมีผลต่อระบบภูมิต้านทานของร่างกายที่ทำให้ลดต่ำลง เมื่อมีการอักเสบเกิดขึ้่นเชื้อโรคที่ทำให้เกิดสิวจึงเจริญเติบโตและเกิดขึ้นได้ง่ายเป็นพิเศษ

ครีมกันแดด
ครีมกันแดดทุกชนิดจะมีส่วนผสมที่ทำหน้าที่ในการสะท้อนรังสี UV ซึ่งสารกันแดดเหล่านั้นมักจะเข้าไปอุดตันอยู่ที่บริเวณรูขุมขน ทำให้เกิดเป็นการอุดตันและให้กลายเป็นสิวอักเสบเกิดขึ้น

วิธีการป้องกัน คือ การล้างทำความสะอาดผิวหน้าทุกครั้ง ควรใช้คลีนซิ่งเช็ดทำความสะอาดผิวหน้าซะก่อน เพื่อช่วยดึงเอาสิ่งที่อุดตันที่เกาะติดตามบริเวณของผิวหน้าให้หลุดออกมาได้เพิ่มขึ้น และควรผลัดเซลล์ผิวอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อลดการอุดตันของผิวนั้นเอง

การทานอาหาร
อาหารบางอย่างทำให้สิวสามารถเกิดหรือเพิ่มจำนวนขึ้นได้ เช่น

  • คาร์โบไฮเดรตที่มีน้ำตาลสูง เพราะการทานอาหารที่อุดมไปด้วยน้ำตาลสูงๆ จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ส่งผลให้ตับอ่อนปั๊มอิซูลินเข้าไปในกระแสเลือด ทำให้เกิดการกระตุ้นการแบ่งเซลล์ของต่อมไขมันในร่างกาย จนเกิดการผลิตฮอโมนของเพศชายสูง เลยทำให้มีการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมันเพิ่มขึ้นไปอีก
  • นมและผลิตภัณฑ์จากนม เพราะในนมวัวมี โบไวน์ อินซูลินไลฟ โกรทเฟคเตอร์ และ สารตั้งต้นฮอโมนเพศชาย ชื่อ แอนโดรสตีนไดโอน เมื่อดื่มเข้าไปก็จะกระตุ้นการผลิตฮอโมนเพศชาย ซึ่งจะไปกระตุ้นต่อมไขมันให้ทำงานมากขึ้น


วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

มารู้จักกับ โจโจบาออยล์ (Jojoba Seed Oil) สารสกัดจากพืช

โจโจ้บาออยล์ Jojoba Oil

หลายคนคงรู้จักหรือคุ้นหูกับเจ้า "Jojoba Oil" เป็นอย่างดี อาจเป็นเพราะ Jojoba Oil นั้นได้รับความนิยมในการผสมรวมเข้ากับเครื่องสำอางค์ โฟมล้างหน้า หรือครีมทาผิวหลายชนิด หลายยี่ห้อ เพราะด้วยเหตุผลอะไรนั้นทำไมจึงต้องนำ โจโจบาออย์ล มาเป็นส่วนผสม วันนี้เรามีคำตอบมาให้หายสงสัยกัน มาทำความรู้จักกับเจ้า jojoba oil โจโจบาออยล์ กัน และมาดูว่าประโยชน์ที่ช่วยในการบำรุงผิวมีอะไรบ้าง...?

jojoba oil? โจโจบาออยล์คืออะไร

Jojoba คือ สารสกัดจากเมล็ดของต้นโจโจบา ต้นโจโจบามีผลเป็นเมล็ดกลมๆ สีน้ำตาล เมื่อผ่าออกมาจะเห็นครีมคล้ายขี้ผึ้งอยู่ข้างใน ส่วนนี้เองที่นำมาใช้สกัดเป็นน้ำมันบริสุทธิ์สิ่งที่น่าสนใจก็คือไม่ใช่ "น้ำมัน" เสียทีเดียว แต่คือ wax ester ( ester คือ สารประกอบอินทรีย์เกิดจากปฏิกิริยาของกรดกับแอลกอฮอล์) ในบรรดาสารสกัดจากธรรมชาติทั้งหมด wax ester ชนิดนี้มีลักษณะคล้ายน้ำมันของผิวมนุษย์เราที่สุด ในทางทฤษฎีการทา jojoba oil ลงบนผิวจะสามารถ "หลอก" ผิวของเราให้คิดว่ามีน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวเพียงพอแล้ว จึงส่งผลผิวสร้างสมดุลในการผลิตน้ำมัน สรุปง่ายๆก็คือว่า jojoba oil จะไม่ก่อให้เกิดสิวดังนั้นเราสามารถนำมาใช้ได้อย่างไม่ต้องกลัว

Jojoba oil มีสารคุณสมบัติเป็น Collagen ชนิดเดียวกับผิว ช่วยขจัดน้ำมันบนใบหน้าและสิวเสี้ยน สามารถนำไปล้างเครื่องสำอางบนใบหน้าได้ดีเยี่ยม และยังช่วยลดรอยแผลเป็นให้จางลงได้ ใช้บำรุงผิว ล้างเครื่องสำอาง และมีสารกันแดด spf = 4 ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหลายชนิดนำน้ำมันโจโจบามาเป็นส่วนผสมหลัก ไม่ว่าจะเป็น บอดี้ครีม บอดี้โลชั่น ลิปบาล์ม บาล์มบำรุงเล็บ เพราะน้ำมันโจโจบามีคุณสมบัติพิเศษคือ ไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นกับออกซิเจนในอากาศ จึงไม่มีกลิ่นเหม็นหืน และยังช่วยบำรุงให้ผิวชุ่มชื่น ช่วยโอบอุ้มน้ำใต้ผิวเปรียบเสมือนการสร้างเกราะป้องกันธรรมชาติให้ผิว จึงเหมาะที่จะนำไปผลิตเครื่องสำอางอย่างมาก

ประเภทของ Jojoba Oil
  • Jojoba Oil Golden
  • Jojoba Oil Golden คือ Jojoba Oil ที่สกัดแบบเพียวๆ คือไม่มีการตัดกลิ่นและสีออกจากตัวน้ำมันเลย ทำให้ Jojoba Oil แบบนี้จะมีความเข้มข้นสูง สีจะเป็นสีเหลืองทองเข้ม กลิ่นก็จะแรงกว่า และที่สำคัญ Jojoba Oil Golden นั้นจะมีวิตามินและกรดไขมันที่มากกว่า ซึ่งจะมีประโยชน์กับผิวของเรามากกว่า
  • Jojoba Oil Refined
  • Jojoba Oil Refined คือ Jojoba Oil ที่สกัดออกมาตรงข้ามกับ Jojoba Oil Golden คือ มันจะตัดกลิ่นและสีตามธรรมชาติของ Jojoba Oil ออกไปให้เหลือน้อยที่สุด ซึ่งทำให้ Jojoba Oil Refined นี้เหมาะกับการเอาไปผสมกับเครื่องสำอางหรือครีมต่างๆได้ดี เพราะไม่ทำให้สีและกลิ่นของผลิตภัณฑ์นั้นๆผิดเพี้ยนไปนั่นเอง และจากการที่มันถูกสกัดมากเกินไปก็ทำให้ Jojoba Oil Refined สูญเสียคุณสมบัติและประโยชน์บางอย่างของ Jojoba Oil ไป ซึ่งถ้ามองในเรื่องนี้ Jojoba Oil Refined เป็นรอง Jojoba Oil Golden แน่นอน 

  ประโยชน์ของโจโจ้บาออยล์ Jojoba Oil กับการบำรุงผิว
  • ช่วยลดเลือนเนื้อลายและรอยเหี่ยวย่น ช่วยให้รอยแผลเป็นจางลง
  • ช่วยให้ผิวสามารถกักเก็บน้ำหล่อเลี้ยงได้ยาวนานขึ้น
  • ทำให้สิวเสี้ยนหลุดออกและขจัดสิ่งสกปรกที่รูขุมขน จึงเหมาะสำหรับคนที่เป็นสิวและผิวหน้ามัน และปรับสภาพความเป็นกรดด่างบนผิวได้ดี
  • ปกป้องความชุ่มชื้นบนเส้นผมได้ดีเยี่ยม ให้ความรู้สึกไม่เหนอะหนะผิว กระจายตัวและดูดซึมได้ดีบนผิว
  • ไม่ระคายเคืองและเหมาะกับผิวแพ้ง่าย ในร่างกายคนเราสามารถผลิตน้ำมันที่มีลักษณะคล้ายโจโจ้บาได้เองตามธรรมชาติ แต่ปัจจัยที่ทำให้น้ำมันใต้ผิวลดลงขึ้นอยู่กับอายุ อากาศ สิ่งแวดล้อม มลภาวะ หรือแม้แต่ความเครียดก็มีส่วนทำให้น้ำมันใต้ผิวลดลงเราจึงต้องหาตัวช่วยที่ จะทำให้ผิวของเราชุ่มชื่นอยู่ตลอดเวลา
  • เมื่อใช้ทาผิวจะช่วยให้ผิวเนียนนุ่มขึ้น เนื่องจากโจโจ้บามีวิตามินอีที่ช่วยรักษาความชุ่มชื่นให้กับผิว และยังช่วยลดเลือนริ้วรอยได้อีกด้วย
  • โจโจ้บายังช่วยลดอาการอักเสบของผิวหนัง ช่วยให้เส้นผมแข็งแรง ช่วยขจัดรังแค ลดอาการคันศีรษะ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ในน้ำมันโจโจ้บา ยังมีแร่ธาตุทองแดง โครเมียม ไอโอดีน ซิลิคอน และสังกะสี นอกจากนั้นยังมีวิตามินอี และบีรวม ซึ่งล้วนแต่สำคัญสำหรับผิวพรรณ เส้นผม และเล็บ ผู้หญิงในแถบเม็กซิโกนำน้ำมันที่สกัดจากโจโจบามาบำรุงเส้นผมไม่ให้แห้งเสีย
เชื่อได้ว่าคงทำให้หลายๆคนหายสงสัยได้บ้างแล้ว กับคุณประโยชน์ของโจโจบาออย์ล Jojoba Oil กับการบำรุงผิว ว่ามันมีประโยชน์มากมายจริงๆ แถมยังเป็นสารสกัดที่ได้จากธรรมชาติอีกด้วย...มั่นใจได้เลยว่าปลอดภัย 100% อย่างแน่นอน..
โจโจ้บาออยล์ ช่วยบำรุงผิว

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

4 ผลไม้ที่กินแล้วช่วยให้ผิวสวย ใส สุขภาพดี มีเม็ดเลือดฝาดได้จริง

เคล็ดไม่ลับของตัวช่วยดีๆสำหรับคนที่อยากมีผิวเนียนใส อมชมพู

สำหรับสาวๆคนไหนที่อยากมีผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใส อมชมพู มีสุขภาพดี ตามแบบฉบับธรรมชาติให้มาแล้วละก็ ขอแนะนำวิธีนี้เลยกับ 4 ผลไม้ที่มีสรรพคุณที่ช่วยเน้นในเรื่องของการบำรุงผิวพรรณ ที่เมื่อกินเข้าไปแล้วสามารถช่วยบำรุงและทำให้ผิวของคุณดูเปล่งปลั่ง สดใส อมชมพูได้อย่างใจนึกคิด โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาไปเสี่ยงหรือไปเจ็บตัวให้ยุ่งยากอีกต่อไป


เรามาดูกันดีกว่าว่า ผลไม้ที่เต็มเปรี่ยมไปด้วยวิตามินที่สามารถช่วยบำรุงให้ผิวพรรณของเราให้เปล่งปลั่ง เนียนใส อมชมพู มีอะไรบ้าง

  • แตงโม เป็นผลไม้ที่มีวิตามินและแร่ธาตุอยู่ภายในมากมาย ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต น้ำตาล เส้นใย โปรตีน วิตามินเอ วิตามินบีรวม วิตามินซี กรดโฟลิก แคลเซียม เหล็ก แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และ สังกะสี ที่มีประโยชน์ในการช่วยบำรุงผิวพรรณ ทำให้โลหิตไหลเวียนดีจึงทำให้ผิวพรรณสดใสและชุ่มชื่น นอกจากนี้สารสีแดงในแตงโมงที่มีชื่อเรียกว่า “ไลโคปีน” ยังเป็นสารที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยปกป้องผิวจากริ้วรอยก่อนวัย และลดความหมองคล้ำให้แก่ผิวได้เป็นอย่างดี การพอกหน้าด้วยแตงโมยังช่วยดูดซับความมันบนใบหน้า และลดอาการแสบแดงที่เกิดจากผิวไหม้แดดได้อีกด้วย
  • ทับทิม ในผลทับทิมมีวิตามินมากมายหลายชนิด รวมทั้งแมกนีเซียมและแคลเซียม ซึ่งมีประโยชน์ต่อระบบฟอกโลหิต และระบบการหมุนเวียนในร่างกาย ด้วยทับทิมนั้นเป็นผลไม้ที่มีรสหวานออกเปรี้ยว น้ำทับทิมจึงมีวิตามินซีสูง และยังประกอบด้วยเกลือแร่ต่างๆที่มีประโยชน์ต่อร่างกายจึงมีฤทธิ์ในการช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระและต้านเชื้อแบคทีเรียได้เป็นอย่างดี
  • สตรอเบอร์รี่ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระได้แก่ แอนโทไซยานิน (Anthocyanin) เคอซิติน (Quercetin) เคมเพอรอล (Kaempferol) ซึ่งสารเหล่านี้นอกจากจะช่วยชะลอริ้วรอยไม่ให้เกิดก่อนวัยแล้ว ยังมีส่วนช่วยในการยับยั้งสารก่อโรคมะเร็งชนิดต่างๆได้ และเมื่อเปรียบเทียบสารต้านอุมูลอิสระกับผลไม้ชนิดอื่นๆ สตรอเบอร์รี่นั้นจะมีสารต้านอุนมูลอิสระมากกว่าส้มถึง 1 เท่า มากกว่ามะเขือเทศและกล้วยหอมถึง 7 เท่า และมากกว่าลูกแพรถึง 15 เท่า นอกจากนี้ผลไม้ชนิดนี้ยังถือว่าเป็นผลไม้มีวิตามินซีสูง โดยสตรอเบอร์รี่ปริมาณ 100 กรัมจะมีวิตามินซีมากถึง 58 มิลลิกรัมเลยทีเดียว เพราะด้วยมีวิตามินมากมายโดยเฉพาะวิตามินซีและสารต้านนุมูลอิสระ จึงมีส่วนช่วยในเรื่องของการบำรุงผิวพรรณ ช่วยชะลอก่อนวัย ป้องกันผิวเสื่อมสภาพ ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งได้อย่างไม่น่าเชื่อ
  • แก้วมังกร แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายชนิด เช่น วิตามินซี วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 ธาตุแคลเซียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุแมกนีเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก เป็นต้น ที่สามารถช่วยบำรุงให้ผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ชุ่มชื้น ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ซึ่งมีส่วนช่วยในการชะลอวัยความแก่ชราและริ้วรอยต่างๆ


โดยธรรมชาติแล้วคนเราไม่สามารถเปลี่ยนสีผิวของตัวเองให้ขาวขึ้นกว่าปกติได้มากนัก ยกเว้นแค่เพียงว่าเราจะใช้สารที่มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส ที่ทำให้การสร้างเมลานินในผิวหนังลดลงนั้นเอง แต่เราสามารถเพิ่มความสว่าง เนียน ใส และบำรุงให้ผิวพรรณให้สดใส อมชมพู สุขภาพดีขึ้นได้


มัลเบอร์รี (Mulberry) หรือลูกหม่อน....สารพัดประโยชน์เพื่อสุขภาพ

มัลเบอร์รีบำรุงผิว

มัลเบอร์รี (Mulberry) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ลูกหม่อน หลายคนคงจะคุ้นกับชื่อนี้มากกว่า เป็นผลไม้พื้นบ้านของคนไทย ที่นับได้ว่าเป็นสุดยอดแหล่งรวมวิตามินชีที่ดีเลยล่ะ ซึ่งในปัจุบันนี้มัลเบอร์รีเป็นผลไม้ที่คนรักสุขภาพให้ความสนใจและเป็นที่นิยมกันมากขึ้น คงจะเป็นเพราะสรรพคุณที่โดดเด่นในเรื่องของการบำรุงสุขภาพในหลายๆด้านนี้เอง ที่ทำให้มัลเบอร์รี หรือลูกหม่อน เป็นผลไม้สารพัดประโยชน์นั้นเอง

ซึ่งวันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับเจ้าผลไม้อย่างมัลเบอร์รี หรือที่มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า ลูกหม่อน ไปดูกันว่าผลไม้ชนิดนี้จะมีดีแค่ไหน และทำไมถึงเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่คนรักสุขภาพต้องห้ามพลาดเลยล่ะ ตามมาดูกันเลย

มัลเบอร์รี คืออะไรกันนะ ?

มัลเบอร์รี (Mulberry) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Morus nigra. L. เป็นหนึ่งในพืชตระกูลเบอร์รี โดยคนไทยมักจะรู้จักกันในชื่อของลูกหม่อน เนื่องจากเป็นผลของต้นหม่อนที่ใช้ในการเลี้ยงหนอนไหม อันเป็นจุดกำเนิดของอุตสาหกรรมผ้าไหม โดยลักษณะของต้นหม่อน เป็นพืชยืนต้นประเภทไม้พุ่มขนาดกลาง เนื้อไม้อ่อน เจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่เขตร้อน ลำต้นมีลักษณะกลม ผิวเรียบ ไม่มีหนาม แต่มียางสีขาวขุ่นคล้ายน้ำนม ใบมีลักษณะขอบหยัก ปลายใบแหลม ฐานใบกลมหรือเป็นรูปหัวใจ ผิวใบสาก ก้านใบเรียวเล็ก ดอกเป็นรูปทรงกระบอก โดยจะออกตามซอกใบและปลายยอด ผลของหม่อน หรือลูกมัลเบอร์รี มีลักษณะเป็นผลรวมทรงกระบอก สีของผลเป็นสีเขียวอ่อน แต่เมื่อแก่เต็มที่จะมีสีแดงเข้ม ไปจนเกือบดำ มีรสหวานอมเปรี้ยว มัลเบอร์รีถือเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมากมาย ด้วยเพราะคุณค่าทางโภชนาการที่อัดแน่นอยู่ในผลสีเข้ม และรสชาติที่หวานอมเปรี้ยวถูกปาก อีกทั้งยังสามารถรับประทานได้หลายรูปแบบ ทั้งแบบผลสด ผลอบแห้ง มัลเบอร์รีกวน หรือจะดื่มเป็นเครื่องดื่ม อย่างน้ำมัลเบอร์รี จึงทำให้มัลเบอร์รีกลายเป็นผลไม้ยอดนิยม เมื่อรู้จักกับเจ้ามัลเบอร์รีแล้ว แล้วประโยชน์ของมันล่ะจะดีขนาดไหนมาดูกันเลย

คุณประโยชน์ของมัลเบอร์รีเพื่อสุขภาพ
  • ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด อาการระดับน้ำตาลในเลือดเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมักเป็นปัญหาของผู้ป่วยโรคเบาหวาน แต่มัลเบอร์รีมีสรรพคุณช่วยไม่ให้น้ำตาลในเลือดเกิดการผกผันโดยจะเข้าไปชะลอการย่อยของคาร์โบไฮเดรต ทำให้น้ำตาลในเลือดไม่เกิดการผกผันจนส่งผลเสียต่อร่างกาย
  • ลดคอเลสเตอรอล คอเลสเตอรอลเป็นไขมันที่อยู่ในร่างกายซึ่งจำเป็นต้องควบคุมให้อยู่ในระดับปกติ เพราะหากมีมากเกินไปอาจจะทำให้เสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ อาทิ โรคหัวใจ และหลอดเลือด ซึ่งการรับประทานมัลเบอร์รีสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดี (LDL) และกระตุ้นการสร้างคอเลสเตอรอลชนิดที่ดี (HDL) อีกทั้งยังช่วยลดไขมันในตับ และความเสี่ยงไขมันพอกตับได้อีกด้วยค่ะ
  • อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ มัลเบอร์รีถือเป็นพืชในตระกูลเบอร์รีที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอันทรงคุณค่า ที่ช่วยป้องกันเซลล์ต่าง ๆ จากการถูกทำลาย อันเป็นสาเหตุให้เกิดการอักเสบต่าง ๆ และริ้วรอยที่เกิดขึ้นก่อนวัย ไม่เพียงเท่านั้น สารต้านอนุมูลอิสระในมัลเบอร์รียังช่วยบำรุงผิวให้ดูเนียนนุ่ม กำจัดจุดด่างดำที่เกิดขึ้นบนผิว และยังบำรุงผมให้เงางามได้อีกด้วย
  • ป้องกันโรคมะเร็ง เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าโรคมะเร็งเกิดจากภาวะความผิดปกติของเซลล์ที่เกิดจากการที่เซลล์ถูกทำลาย ซึ่งวิธีการป้องกันก็คือการรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ และในมัลเบอร์รีก็มีเจ้าสารนี้อยู่ไม่ใช่น้อย โดยสารเหล่านี้จะไปทำการยับยั้งการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง และกำจัดเซลล์มะเร็งไปพร้อม ๆ กัน นับว่าเป็นอาหารต้านมะเร็งที่ให้ผลที่ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว
  • กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ธาตุเหล็กเป็นสารอาหารที่ไม่ค่อยพบได้ง่ายในพืช แต่กลับมีในมัลเบอร์รี ซึ่งเจ้าสารชนิดนี้จะไปกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง เพิ่มการไหลเวียนของเลือด ทำให้ร่างกายสามารถส่งออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงเนื้อเยื่อและอวัยวะต่าง ๆ ได้มากขึ้น
  • เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน มัลเบอร์รีเป็นพืชที่มีสารอัลคาลอยด์ (Alkaloids) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยสร้างเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน โดยจะไปกระตุ้นเซลล์แมคโคเฟจ (macrophages) ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่ในการกำจัดเชื้อโรคและเชื้อไวรัสที่เข้ามาในร่างกาย ส่งผลให้เราไม่ป่วยง่ายค่ะ
  • ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง เรสเวอราทรอล (Resveratrol) เป็นสารที่พบได้ในเปลือกผลไม้บางชนิด เช่น องุ่น และพืชตระกูลเบอร์รีบางชนิด และในมัลเบอร์รีก็มีอยู่ไม่น้อยเลยเชียวล่ะ ว่ากันว่าหากบริโภคอาหารที่มีสารชนิดนี้จะช่วยควบคุมความดันโลหิตไม่ให้สูงจนเกินไป และลดความเสี่ยงโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดด้วย
  • บำรุงสายตา ซีแซนทีนที่อยู่ในมัลเบอร์รี เป็นสารสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพดวงตา โดยสารนี้จะเข้าไปลดภาวะออกซิเดชั่นที่เกิดขึ้นในดวงตา ป้องกันการเกิดจอประสาทตาเสื่อม อีกทั้งสารต้านอนุมูลอิสระในมัลเบอร์รีก็ยังช่วยให้ดวงตาใสปิ๊ง นี่ยังไม่รวมถึงวิตามินบี 1 ที่มีประโยชน์ในการบำรุงสายตาโดยตรง ดีขนาดนี้ใครจะอดใจไหว
  • ช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย ปริมาณไฟเบอร์ที่ไม่เป็นรองใคร ทำให้มัลเบอร์รีเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่ดีสำหรับระบบขับถ่าย ไฟเบอร์ในมัลเบอร์รีจะเข้าไปกระตุ้นระบบขับถ่ายให้ทำงานเป็นปกติ และช่วยแก้ปัญหาท้องผูก อีกทั้งยังช่วยแก้ท้องอืด และจุกเสียดได้อีกด้วย

ด้วยประโยชน์ที่มากมายจึงทำให้มัลเบอร์รี เป็นผลไม้ที่เรียกได้ว่าน่ารับประทานมากที่สุดเลยตอนนี้ ก็เพราะด้วยประโยชน์ที่อัดแน่นนี้เอง และในปัจุบันก็ยังหารับประทานได้ง่าย ทั้งแบบผลสด ผลอบแห้ง น้ำผลไม้ และที่สำคัญยังอร่อยมากด้วย ดีอย่างนี้สำหรับใครที่รักสุขภาพล่ะก็ อย่าลืมที่จะลองหามาทานกันนะคะ รับรองได้ว่าคุณจะไม่ผิดหวังแน่นอน...

ลูกหม่อนเพื่อสุขภาพ

วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ล้างหน้าอย่างไรให้ถูกวิธี ให้หน้าไม่เหี่ยว สิวไม่ขึ้น

เคยไหมทั้งๆที่เราก็คิดว่าทุกครั้งในการทำความสะอาดผิวหน้า ก็ล้างหน้าได้อย่างสะอาดหมดจดเรียบร้อยแล้ว แต่ทำไมผิวหน้ายังถึงมีริ้วรอยต่างๆและสิวเกิดขึ้นมามากมาย นี่อาจเป็น 1 สัญญาณ ที่กำลังเตือนคุณอยู่ก็ได้ว่า ..คุณกำลังล้างหน้าแบบผิดวิธีอยู่


การล้างหน้าในแต่ละครั้งคนทั่วไปส่วนใหญ่มักจะคำนึงถึงแต่เรื่องของความสะอาดเป็นหลัก จนลืมนึกไปว่าการล้างหน้าที่ถูกวิธีจริงๆ นอกจากการจะทำให้ผิวหน้าของเรามีความสะอาดหมดจดตามที่ต้องการแล้ว ที่สำคัญเราควรให้ความใส่ใจกับการถนอมผิวหน้าทุกครั้งของการล้างหน้าอีกด้วย 

เรามาดูวิธีการล้างหน้าที่ถูกวิธีกันเลยดีกว่า

1. การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิว

เนื่องจากผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดสามารถล้างไขมันบนผิวหนังของหน้าได้ ดังนั้นหากเราใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าชนิดที่มีความเป็นกรด-ด่างสูง บ่อยเกินไปหรือเลือกใช้ไม่เหมาะกับสภาพผิว จะทำให้เกิดการระคายเคือง ผิวแห้ง ตึง มีรอยย่น ได้ในระยะแรก ในบางรายที่เป็นมากอาจพบว่ามีผื่นแดง แตก เป็นขุย จนถึงขนาดที่ว่าเกิดเป็นผิวหนังอักเสบเกิดขึ้น จะเห็นได้ว่าแค่เรื่องเล็กๆในการล้างหน้าก็กลายเป็นสิ่งสำคัญของผิวที่มีสุขภาพดีได้เช่นกัน

ผิวหน้าของคนเรานั้นสามารถแบ่งออกเป็นได้ 5 ประเภทด้วยกัน คือ ผิวแห้ง, ผิวมัน, ผิวธรรมดา, ผิวผสม และผิวแพ้ง่าย ดังนั้นก่อนการซื้อผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ต่างๆของการบำรุงผิว ควรเลือกใช้ให้เหมาะและตรงกับสภาพผิวจะดีที่สุด

2. ผลิตภัณฑ์ที่ควรมีในการทำความสะอาดผิวหน้า

  • ครีมเช็ดหน้า (Cleansing cream หรือ oil) เหมาะกับผู้ที่มีผิวแห้ง แพ้ง่าย ใช้เช็ดเครื่องสำอางทำให้เช็ดออกได้ง่าย เพราะเครื่องสำอางส่วนใหญ่สามารถละลายในน้ำมันได้ดี
  • โฟม เจล สบู่ก้อน สบู่เหลว หรือที่เรียกว่า Syndet หรือ Soapless Soap ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดชนิดนี้สามารถปรับความเป็นกรดด่างให้เท่ากับผิวหนังได้ และอาจจะใส่สารที่ทำให้เกิดความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง ปัจจุบันจึงนิยมใช้กลุ่มนี้มาก สารทำความสะอาดที่ใช้มีคุณสมบัติช่วยทำให้คราบไขมันสิ่งสกปรกบนผิวละลายมาอยู่ในสบู่สังเคราะห์และล้างโดยน้ำได้
  • โลชั่นเช็ดหน้า หรือที่รู้จักกันในชื่อ Astringent,Clarifying lotion, Toner ใช้เช็ดหลังจากการล้างหน้า อาจมีส่วนประกอบของแอลกอฮอล์เพื่อเช็ดความมันบนใบหน้าและให้ความรู้สึกว่าหน้าตึง กระชับรูขุมขน หรือใช้ในผู้ที่มีสิวง่าย

ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวพรรณที่ดีนั้นควรมีคุณสมบัติในการล้างสิ่งสกปรก ฝุ่นละออง คราบเหงื่อไคลเชื้อโรค และเครื่องสำอางให้ออกมาละลายน้ำได้ โดยที่ไม่ทำลายไขมันธรรมชาติที่ปกป้องผิวหนัง

3. การล้างหรือเช็ดหน้าตามแนวรูขุมขน

ใต้ผิวของเรานั้นจะประกอบไปด้วยโพรงขนอยู่เป็นจำนวนมาก โดยโพรงขนนี้มีส่วนสำคัญในการเป็นแนวหรือแกนเพื่อให้เส้นใยคอลลาเจนและอิลาสติน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญให้ผิวของเรายึดเกาะ ซึ่งหมายถึงว่าเวลาที่เราล้างหน้า หรือกำลังถูโฟมอยู่บนหน้า แบบวนไปวนมาเรื่อยๆ หรือถูแบบไม่มีรูปแบบตายตัว ก็จะทำให้เนื้อเยื่อที่อยู่ด้านบนของแนวโพรงขนมันกระจายตัว หรือทำให้เป็นกระจุกๆเกิดขึ้น จึงส่งผลทำให้สิ่งสกปรกมันหลุดออกไปไม่ดีเท่าทีควร และทำให้เกิดริ้วรอยอื่นๆตามมาบนใบหน้าได้


วิธีการล้างหน้าตามแนวโพรงขน

  • บีบโฟมหรือสบู่ล้างหน้าลงบนฝ่ามือ จากนั้นผสมน้ำเล็กน้อยถูด้วยมือทั้ง 2 ข้าง แล้วก็เอามือทั้ง 2 ข้างลูบโฟมให้ทั่วหน้า
  • จากนั้นให้ใช้ปลายนิ้วของมือทั้ง 2 ข้างลูบไปตามทิศทางของลูกศรตามรูปข้างบน โดยไล่มาตั้งแต่หน้าผาก ลูบให้ออกมาทางด้านข้างของศรีษะทั้ง 2 ข้าง โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่กลางหน้าผาก
  • แล้วก็ไล่ลงมาที่จมูกลูบลงมาตั้งแต่บริเวณหัวตา มาที่ดั้ง ปลายขมูก และบริเวณด้านบนของปาก
  • และลูบบริเวณแก้ม โหนกแก้ม โดยลูบออกทางด้านข้างตามลูกศร ไล่ให้ทั่วบริเวณ โดยถูเป็นทิศทางเดียวกันตลอด ห้ามถูสวนขึ้นไปเด็ดขาด
  • สุดท้ายก็ถูบริเวณคางเป็นแนวดิ่งลง จากนั้นก็ล้างโฟมล้างหน้าออกกด้วยน้ำเปล่าด้วยวิธีการเดียวกัน


วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

กำจัดกลิ่นเท้าไม่ให้เหม็นอับในเวลาสั้นๆ

หากเท้าของคุณเป็นต้นเหตุของกลิ่นอับอันไม่พึงประสงค์ เท้ามีกลิ่นเหม็นมากจนทำให้ความมั่นใจที่มีอยู่สูญเสียไป วันนี้เราก็เลยจะมาแนะนำสารพัดวิธีที่สามารถช่วยดับกลิ่นอับของเท้าคุณได้ด้วยตัวเองแบบง่ายๆมาฝากกัน จะมีวิธีไหนบ้างมาอ่านกันเลย


เท้ามีกลิ่นเหม็นอับเกิดจากสาเหตุ

โรคเท้าเหม็น (Pitted keratolysis) เกิดจากแบคทีเรียชื่อ Micrococcus Sedentarius ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่พบได้ทั่วไปในสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา ทั้งนี้โรคเท้าเหม็นจะพบได้บ่อยในผู้ที่ต้องสวมใส่รองเท้าหุ้มส้นเป็นเวลานานๆ ทำให้บริเวณเท้าเกิดเหงื่อออกเป็นจำนวนมาก ทำให้เท้าอับชื้น และส่งผลให้ผิวหนังชั้นนอกสุดของฝ่าเท้าเปื่อยยุ่ย และมีค่าความเป็นด่างสูงขึ้น

โดยปกติแล้วต่อมเหงื่อที่เท้าของเราจะต่างจากต่อมเหงื่อบริเวณอื่นๆของร่างกาย โดยไม่ว่าจะอยู่ในช่วงอากาศร้อน หรือระหว่างออกกำลังกาย ต่อมเหงื่อที่เท้าจะผลิตเหงื่อออกมาตลอดเวลา โดยสามารถผลิตเหงื่อออกมาได้มากถึงสัปดาห์ละ 4.5 ลิตร เลยทีเดียว สาเหตุของกลิ่นเท้าอาจเกิดจากชนิดหรือวัสดุของรองเท้าที่เราสวมใส่ การสวมใส่รองเท้าที่ไม่มีการระบายอากาศ หรือการใส่รองเท้าที่มีการระบายต่ำ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เท้ามีกลิ่นเหม็นอับเกิดขึ้น

วิธีและขั้นตอนในการดับกลิ่นเหม็นอับที่เกิดขึ้นที่เท้า

  • ล้างเท้าด้วยทีทรีออยล์หรือน้ำมันสะระแหน่ ช่วยระงับกลิ่นเท้าได้ เพราะมีสรรพคุณในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย แต่อย่าใช้น้ำมันสะระแหน่หากกำลังตั้งครรภ์
  • แช่เท้าในชาดำ โดยใช้ชา 2 ถุงแช่ในน้ำ 8 ถ้วย กรดแทนนิกในชาช่วยระงับกลิ่นได้ ขณะเดียวกันชายังมีสรรพคุณเป็นเสมือนยาสมานแผล
  • ใช้สเปรย์ระงับกลิ่นเท้าฉีดพ่นบริเวณฝ่าเท้าก่อนสวมรองเท้าทุกครั้ง เพื่อกดดันแบคทีเรียที่ออกมากับเหงื่อให้ทำงานไม่สะดวก
  • ถ้าเท้ามีกลิ่นแรง อาจใช้ยาดับกลิ่นที่มีสารอลูมิเนียม เช่น aluminium chlorohydrate ทาเท้า แล้วสวมถุงเท้าก่อนนอน
  • การผ่าตัดเส้นประสาท  โดยผ่าตัดเส้นประสาทตัวที่ทำให้เกิดเหงื่อในบริเวณนั้น ๆ  ซึ่งวิธีทั้งหลายเหล่านี้ต้องขึ้นอยู่กับการการวินิจฉัยของแพทย์ผู้ทำการรักษา
  • รักษาด้วยวิธีไอออนโตโฟรีซีส (Iontophoresis) หรือการใช้ประจุไฟฟ้าไปช่วยบล็อกการทำงานของเหงื่อ 

วิธีป้องกันและลดกลิ่นอับไม่ให้เกิดขึ้น

  • ล้างเท้าด้วยน้ำอุ่นอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ห้ามใช้น้ำร้อน ใช้หินพัมมิซขัดผิวหนังเท้าที่หยาบกร้านออก เพราะผิวที่ตายแล้วเหล่านี้จะเป็นจุดอับชื้น ทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดี ต่อมาเช็ดเท้าให้แห้งสนิทและทาครีมบำรุงเท้าที่ช่วยดับกลิ่น จากนั้นโรยแป้งทาตัวให้ทั่วเท้าและซอกเท้าตามด้วยก็ได้
  • ควรสวมรองเท้าที่มีขนาดพอดีกับเท้า ไม่ควรใส่รองเท้าที่คับเกินไปเพราะจะทำให้เหงื่อออกมากขึ้น
  • ควรถอดรองเท้าและถุงเท้าออกบ้างเพื่อให้เท้าได้หายใจ ระบายเหงื่อและกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้อย่างปลอดโปร่ง
  • หลีกเลี่ยงถุงเท้าในลอน ถุงเท้าที่ทำจากขนสัตว์เพราะจะทำให้เท้าอุ่นเกินไป ไม่เหมาะกับเท้าที่มีเหงื่อออกมาก ควรสวมถุงเท้าผ้าฝ้ายจะเหมาะที่สุด และอย่าสวมถุงเท้าที่สกปรกซ้ำๆควรเปลี่ยนถุงเท้าทุกวัน 
  • ซักถุงเท้าอย่างถูกวิธี โดยการนำถุงเท้าไปแช่ในน้ำร้อนก่อนแล้วค่อยซักกับผงซักฟอก เพราะวิธีนี้จะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ดีกว่า
  • อย่าสวมรองเท้าผ้าใบนานๆ เท้าที่ทำจากพลาสติกหรือรองเท้าที่ทำจากใยสังเคราะห์ เพราะรองเท้าเหล่านี้จะมีอุณหภูมิที่เหมาะกับการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย
  • อย่าสวมรองเท้าคู่เดิม 2 วันต่อเนื่องกัน ให้สวมรองเท้าคู่อื่นบ้างสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกัน เพื่อให้รองเท้ามีโอกาสแห้ง ระบาย 
  • ถ้ารองเท้าอับชื้นให้ทำความสะอาดรองเท้าโดยการนำรองเท้าออกมาผึ่งแดด ผึ่งลม จนแห้งสนิทจริงๆ และเก็บรองเท้าไว้ในที่อากาศถ่ายเทได้ดี รวมถึงแกะเชือกรองเท้าออกทั้งหมด ยกลิ้นรองเท้าขึ้นเพื่อให้อากาศได้ถ่ายเททั่วถึงทั้งรองเท้าด้านใน ใช้แอลกอฮอล์เช็ดภายในรองเท้าสำหรับรองเท้าที่ซักล้างได้สามารถทำความสะอาดด้วยผงซักฟอกและน้ำร้อนได้ หากทำความสะอาดแล้วยังไม่หายเหม็น ให้เปลี่ยนใส่รองเท้าคู่ใหม่


วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

7 เคล็บลับเตรียมพร้อมรับมือเมื่อเข้าหน้าหนาว

เมื่อเข้าสู่หน้าหนาวทีไรร่างกายของเราจะต้องทำงานหนักมากขึ้นกว่าปกติทุกครั้ง เพราะเนื่องจากกลไกลในร่างกายของเราจะต้องรักษาอุณหภูมิเอาไว้ให้อบอุ่นมากที่สุด


เมื่อต้องอยู่ในสภาพอากาศที่หนาวเหน็บเป็นเวลานาน ร่างกายก็จะเพิ่มอัตราการไหลเวียนเลือดเลือดจากอวัยวะส่วนปลายของร่างกายคือ แขน ขา และผิวหนังชั้นนอกไปยังอวัยวะแกนหลัก คือส่วนหน้าอกและหน้าท้อง ซึ่งการเพิ่มอัตราการไหลเวียนโลหิตนี้จะทำให้แขน ขา และผิวหนังเราเย็นลงอย่างรวดเร็ว จนทำให้ส่งผลเสียต่างๆตามมาอย่างมากมาย 

ดังนั้นเมื่อถึงยามที่ลมหนาวมาเยือนการดูแลสุขภาพจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก ที่จะปล่อยปละละเลยไม่ได้โดยเด็ดขาด

การดูแลผิวพรรณและร่างกายในช่วงฤดูหนาว

กินอาหารที่มีประโยชน์ 
เพราะการได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ ถือเป็นตัวช่วยที่สำคัญในการเพิ่มภูมิต้านทาน เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน หรือป้องกันภัยหนาวให้กับร่างกาย ทำให้ร่างกายของเรานั้นมีสุขภาพที่แข็งแรง เกิดโรคต่างๆขึ้นได้ยาก อาหารที่ช่วยทำให้ร่างกายเกิดความอบอุ่นและลดความหนาวเย็นลง ได้แก่ ธัญพืช ถั่วเปลือกแข็ง เนื้อสัตว์ สมุนไพร และเครื่องเทศ เป็นต้น

ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
ในฤดูหนาวถือเป็นช่วงที่เหมาะกับการออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬากลางแจ้งเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะทำให้ไม่ค่อยรู้สึกเหนื่อย เนื่องจากหายใจคล่อง ความชื้นในอากาศต่ำแล้ว ยังสามารถเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกายอีกด้วย แต่ก่อนการออกกำลังกายทุกครั้งจำเป็นต้องมีการอบอุ่นร่างกายก่อนเสมอ เพื่อเพิ่มอุณหภูมิในร่างกายและเพิ่มความคล่องตัวของกล้ามเนื้อ

ทานวิตามินเสริม
การขาดสารอาหารบางหรือวิตามินบางอย่าง อาจมีผลทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายลดลง ผู้เชี่ยวชาญจึงสนับสนุนการบริโภคอาหารให้หลากหลายในปริมาณที่พอเหมาะ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารสมดุลถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะเพิ่มระบบภูมิคุ้มให้กับร่างกายได้ ในกรณีที่จะเสริมด้วยวิตามิน ควรเลือกชนิดที่เป็นวิตามินแร่ธาตุรวมที่ให้สารอาหารประมาณ 100% ของปริมาณที่ควรได้ในแต่ละอัน ทั้งนี้อาจปรึกษาแพทย์ หรือ นักกำหนดอาหารถึงปริมาณที่เหมาะสม วิตามินเสริมที่แนะนำให้ทานในช่วงอากาศหนาว คือ วิตามินเอ วิตามินอี และวิตามินซี

บำรุงผิวให้ชุ่มชื้น
ทุกครั้งหลังอาบน้ำอย่าลืมชดเชยน้ำหล่อเลี้ยงผิวที่สูญเสียไปจากการตากแดดและลมหนาว รวมไปถึงจากน้ำอุ่นที่เพิ่งอาบไป ด้วยการทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวทุกครั้งหลังอาบน้ำ หรือรู้สึกได้ว่าผิวแห้งกว่าปกติก็สามารถทาได้ทันที

ดื่มเครื่องดื่มที่ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น
จากการศึกษาพบว่าการทานอาหารและเครื่องดื่มอุ่นๆ สามารถเพิ่มอุณหภูมิในร่างกายได้ และในขณะที่ทานอาหารที่มีรสเผ็ดร้อนก็จะยิ่งช่วยทำให้เลือดมีการไหลเวียนที่ดียิ่งขึ้น

ไม่อาบน้ำที่อุ่นหรือร้อนจนเกินไป
การอาบน้ำที่อุ่นจนร้อนมากเกินไปและนานเกินไปหรือถี่เกินไป อาจทำให้เกิดการทำลายน้ำหล่อเลี้ยงผิวไปได้ง่ายๆ ทำให้ผิวแห้งสากเป็นขุย ดังนั้นวิธีการอาบน้ำที่ดีที่สุดคือหลังจากอาบน้ำอุ่นแล้วให้ชโลมตัวด้วยน้ำเย็นเป็นการปิดท้ายทุกครั้ง วิธีนี้นอกจากจะทำให้เรารู้สึกอบอุ่นหลังการอาบน้ำมากกว่าปกติแล้ว ยังเป็นการช่วยปิดรูขุมขน ป้องกันการสูญเสียน้ำหล่อเลี้ยงผิวในช่วงฤดูหนาวอีกวิธีหนึ่งด้วย

สร้างความอบอุ่นให้ร่างกายโดยใส่เสื้อผ้าหนา
สวมใส่เสื้อผ้าที่ทำจากวัสดุที่สามารถป้องกันแรงลมได้ หรือจากวัสดุที่ช่วยดูดซับเหงื่อและให้ความ อบอุ่นแก่ร่างกาย ที่ระบายอากาศได้ดีได้ เช่น ขนสัตว์ ผ้า cotton หรือ synthetic เป็นต้น และสวมใส่หมวก ถุงมือ ถุงเท้า เนื่อจากความร้อนในร่างกายอาจสูญเสียผ่านทางสิ่งต่างๆเหล่านี้ได้


วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

5 เทคนิคที่ทำให้ผมยาวเร็วทันใจ

สำหรับสาวๆที่ชื้นชอบและอยากจะมีผมที่ยาวสลวยสวยเก๋ แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมก็มักจะมีเหตุที่ทำให้ต้องหั่นผมสั้นอยู่เสมอๆ จึงส่งผลที่ทำให้ผมที่กำลังจะยาวนั้นสั้นลงไปอีกเช่นเคย แต่ต่อไปนี้เราจะไม่ต้องกังวนใจหรือต้องรอระยะเวลาไปอีกยาวนานอีกแล้ว


เพราะเรามีเคล็ดลับดีๆ !! เกี่ยวกับวิธีที่ช่วยทําให้ผมยาวเร็ว ยาวง่าย และใช้เวลาเพียงสั้นๆ แต่สามารถทำให้ผมยาวได้ดั่งใจต้องการ จะมีขั้นตอนอะไรยังไงกันบ้างมาดูกันเลย

เทคนิดการบำรุงดูแลผมให้ยาวสลวยสวยแบบเร่งด่วน

เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุง ดูแลผมที่ดี มีคุณภาพ ที่ช่วยเร่งผมยาวได้ไปในตัว
ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมที่ช่วยบำรุงรากผมเป็นพิเศษโดยตรง ที่มีส่วนผสมของ วิตามินบี ซี ธาตุเหล็กและสังกะสี เพื่อหน้าที่บำรุงและช่วยกระตุ้นเส้นผมให้ยาวเร็วขึ้น

แปรงผมและนวดศีรษะเป็นประจำ 
ก่อนการสระผมทุกครั้งแนะนำให้แปรงผมเพื่อนวดกระตุ้นหนังศีรษะก่อนสระ หรืออาจจะแปรงทุกวันก็ได้เช่นกัน เพราะการแปรงและนวดศีรษะนั้นจะช่วยกระตุ้นให้รากผมแข็งแรง ทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานดีขึ้น สามารถลำเลียงสารอาหารที่เราทานไปส่งต่อรากผมให้แข็งแรง ลดอาการผมขาดหลุดร่วง ทำให้ผมยาวเร็วขึ้นอยางเป็นธรรมชาติ

ทานอาหารที่มีประโยชน์
ซึ่งการทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่เป็นหลัก โดยเฉพาะอาหารจำพวกผักใบเขียวต่างๆ ล้วนมีประโยชน์มากมายที่จำเป็นต่อการบำรุงซ่อมแซมเส้นผม นอกจากนี้อาหารทะเลหลายประเภทอย่าง กุ้ง หอย ปลาทะเลก็พบว่ามีแมงกานีสสูงที่ทำหน้าที่บำรุงรากผมให้แข็งแรงเช่นกัน เพราะแม้แต่เส้นผมก็ล้วนต้องการการได้รับสารอาหารที่มีคุณค่า เพื่อช่วยกระตุ้นให้รากผมแข็งแรงและส่งผลให้ผมยาวเร็วขึ้นด้วย

เล็มปลายผมที่เสียออกบ้าง เป็นประจำทุก ๆ 4-6 สัปดาห์
เพราะว่าการเล็มผมเสียออกจะทำให้ศรีษะของเราไม่ต้องไปเสียสารอาหาร ให้กับการบำรุงผมที่เสียเหล่านั้นเป็นจำนวนมาก จึงสามารถส่งสารอาหารและวิตามินต่างๆไปบำรุงผมดีๆได้แบบเต็มที่ ซึ่งจะส่งผลทำให้ผมของเรายาวเร็วขึ้นได้นั่นเอง

หมักผมทุกๆ 1 สัปดาห์ 
โดยใส่น้ำมันบำรุงเส้นผมแล้วให้นวดน้ำมันให้ทั่วหนังศีรษะอย่างเบามือช้าๆ เพื่อกระตุ้นการทำงานและทำให้รู้สึกผ่อนคลาย จากนั้นทิ้งเอาไว้ 30 นาที แล้วจึงสระออกด้วยแชมพูปกติ 

วิธีการหมักและบำรุงผมบ่อยๆเหล่านี้ นอกจากจะทำให้สภาพเส้นสวย นุ่ม มีน้ำหนัก เส้นผมเงางามแล้ว ยังช่วยบำรุงรากผม ทำให้ผมยาวเร็วขึ้นทันใจอีกด้วย


5 สูตรฟื้นฟูรอบดวงตาด้วยของใกล้ตัว

สำหรับใครที่กำลังพบเจอเกี่ยวกับปัญหารอบดวงตาดำคล้ำไม่สดใสอยู่ในตอนนี้ แต่ยังหาครีมบำรุงดีๆสักตัวมาบำรุงไม่ได้ วันนี้เราก็เลยจะมาเสนอตัวช่วยดีๆที่มีอยู่ข้างๆกาย ที่เป็นตัวช่วยในการบำรุงรอบดวงตาที่ดีมากอีกตัวหนึ่ง ซึ่งขั้นตอนและวิธีการบำรุงก็ง่ายแสนง่าย แต่รับรองได้ว่าเห็นผลการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้แน่นอน


ตัวช่วยรอบๆตัวที่สามารถนำมาบำรุงรอบดวงตาได้

แตงกวา
วิธีทำ นำแตงกวาที่แช่เย็นไว้ ฝานเป็นชิ้นบางๆ นำมาวางลงที่ใต้ตา  ทิ้งไว้สัก 30 นาที จะช่วยให้รอบดวงตาสดชื่น ไร้รอยคล้ำรอบดวงตา  และความเย็นจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดบริเวณรอบดวงตาทำงานได้ดีขึ้น

แตงกวาเป็นอาหารผิวที่อุดมไปด้วย วิตามินซี แคลเซียม ซิลิก้า และโปแทสเซียม จึงช่วยทำให้ผิวกระจ่างใส ชุ่มชื่น ลดเลือนริ้วรอยก่อนวัย เพราะในแตงกวามีความชื้นสูงมาก ที่สามารถช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น เพราะมีสารซิสตินและสารเมธโอนิน นอกจากนี้แตงกวายังช่วยในเรื่องของการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวที่หยาบกร้านให้หลุดออกไป ทำให้ผิวใหม่ที่ขาวสดใสขึ้นมาแทนที่เพราะมีเอ็มไซม์ไคซินนั่นเอง

มะเขือเทศ
วิธีทำ หั่นมะเขือเทศขวางแล้วนำมาปิดไว้บริเวณดวงตาประมาณ 10 นาที จากนั้นใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเย็นปิดทับดานบน แล้วหลับตาเพื่อให้ผ่อนคลายประมาณ 20 นาที พอครบเวลาแล้วจึงนำออก และล้างออกด้วยน้ำเย็น

มะเขือเทศ เป็นผักที่มีวิตามินเอสูง มีน้ำเป็นส่วนประกอบอยู่มาก ผิวหนังจึงสามารถดูดซึมน้ำจากมะเขือเทศเข้าสู่เซลล์ผิว เพื่อใช้เป็นน้ำหล่อเลี้ยงเซลล์ได้โดยตรง เพราะความเป็นกรดและด่างที่ใกล้เคียงกับผิว จึงสามารถช่วยบำรุงดวงตาและผิวหนังใต้ดวงตาได้โดยที่ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง อีกทั้งยังมีวิตามินซีอยู่เป็นจำนวนมาก จึงช่วยการกระชับถุงใต้ตาที่หย่อนคล้อยให้กับมาเต่งตึงได้ และยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นเลิศ ที่ช่วยปกป้องผิวไม่ให้ถูกรบกวนจากมลภาวะรอบด้าน

น้ำนม
วิธีทำ โดยการนำน้ำนมที่มีไปแช่ให้เย็นก่อน จากนั้นใช้สำลีชุบนมเย็นๆแล้วนำมาวางไว้บนเปลือกตาประมาณ 15-20 นาที ทำแบบนี้ 2 รอบ ด้วยกัน

ความเย็นและคุณค่าของน้ำนมจะช่วยคลายความอ่อนล้าและเส้นเลือดที่มาคลั่งบริเวณรอบดวงตาได้ นอกจากนี้นมสดยังช่วยให้ดวงตาได้รับความชุ่มชื้นอย่างเต็มที่อีกด้วย

ถุงชาเขียว 
วิธีทำ โดยนำถุงชาที่แช่ในตู้เย็นหรือน้ำเย็นไว้มาวางโปะเอาไว้ที่บริเวณถุงใต้ตาที่บวมขึ้นมา ประมาณ 15 นาที สารแทนนินและสารโพลีธีโนลล์ที่มีอยู่ในชาเขียว ช่วยทำให้ผิวใต้ตาหดตัวลง และช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลายยิ่งขึ้น

น้ำแข็ง
วิธีทำ แนะนำให้ทำในตอนเช้า โดยใช้ผ้าขาวบางมาห่อที่น้ำแข็ง แล้วทุบน้ำแข็งให้แตกๆหน่อย จากนั้นนำไปวางบริเวณดวงตาของเรา ทิ้งไว้ประมาณซัก 10 - 15 นาที ความเย็นจากน้ำแข็งจะช่วยลดถุงน้ำใต้ตา เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวรอบดวงตาและลดความคล้ำของผิวรอบดวงตาลงได้


วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

แค่ใส่ใจในการกินสักนิด ก็ช่วยให้สุขภาพดีได้…..

“อาหาร” กับ “สุขภาพ” เป็นสิ่งที่คู่กัน ถ้าอยากมีสุขภาพที่ดี ก็ต้องเริ่มต้นจากการกินอาหารที่ดีด้วย เราจึงต้องใส่ใจในการเลือกรับประทานอาหาร เพราะสุขภาพที่ดีคือสิ่งที่จำเป็นที่จะต้องให้ความใสใจ ไม่ว่าใครก็อยากมีสุขภาพที่ดีกันใช่ไหมล่ะ...!! ทำให้ในปัจุบันคนทั้งโลกหันมาสนใจการกินเพื่อสุขภาพกันมากขึ้น เพราะการกินไม่ใช่แค่การสนองความต้องการหรือให้อิ่มท้องเท่านั้น หากแต่ยังต้องคำนึงถึงผลที่มีต่อสุขภาพด้วย ยิ่งเวลาทานอาหารแล้วละก็ทำให้สุขภาพดี หุ่นดี ยิ่งทำให้เรารู้สึกดี วันนี้เราได้นำเคล็ดลับการรับประทานอาารให้ได้สุขภาพที่ดีมาฝากกันนะคะ

เทคนิคการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี

โดยมีข้อแนะนำ 9 เคล็ดลับการกินเพื่อสุขภาพ ดังนี้ มาดูกันเลย....
  • ข้อ 1. ทานอาหารเช้าเป็นประจำ เพราะมื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด และควรเป็นมื้อที่มีคุณค่าครบทั้ง 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะนอกจากจะช่วยเติมพลังให้ร่างกาย และสมองแล้ว ยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ช่วยให้การเผาผลาญ พลังงานดีขึ้น
  • ข้อ 2. เลือกอาหารจากธรรมชาติไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์(มอลต์) ถั่ว ข้าวสาลี (โฮลวีต) เมล็ดทานตะวัน เป็นต้น ซึ่งอาหารเหล่า นี้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เป็นแหล่งรวมของแร่ธาตุ วิตามิน โปรตีนที่ปราศจากคอเลสเตอรอลและคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน มีสารแอนติออกซิแดนต์ ใยอาหาร และปัจจัยอื่น ช่วยลดความเสี่ยง โรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยลดคอเลสเตอรอล และความดันโลหิตได้ หรืออาจเลือกอาหารที่มีส่วนผสมของธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ขนมปังโฮลวีต ซีเรียลจากมอลต์ เป็นต้น
  • ข้อ 3. เพิ่มผักผลไม้ในมื้ออาหารและทานเป็นประจำ เพื่อเพิ่ม วิตามิน เกลือแร่และสารอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ช่วยนำคอเลสเตอรอล และสารก่อมะเร็งบางชนิด ออกจากร่างกาย ทำให้ลดการสะสมของสารก่อมะเร็งบางชนิด และมีกากใยช่วยในการขับถ่าย ช่วยให้กระบวนการต่าง ๆ ในร่างกายดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ข้อ 4. ลดขนมขบเคี้ยวและขนมอบกรอบ ที่มีแต่ไขมัน เกลือ น้ำตาลและสารปรุงแต่งอื่น ๆ ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ หากอยากทานขนมอาจหันมาทานขนมที่มีส่วนผสมของธัญพืชเพื่อเพิ่มคุณค่าทาง โภชนาการ อย่างไรก็ตาม ควรทานในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น
  • ข้อ 5. กินปลา ไข่และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน อาหารเหล่านี้เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ช่วยเสริมสร้างร่างกายในผู้เยาว์ และซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ที่เสื่อมสลายในผู้สูงวัย เป็นส่วนประกอบของสารสร้างภูมิคุ้มกันโรคติดเชื้อ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคอ้วน ไขมันในเส้นเลือดสูง เป็นต้น
  • ข้อ 6. ดื่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพแทนน้ำหวาน น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีน้ำตาลสูง การดื่มน้ำผักผลไม้ ก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามินและแร่ธาตุกว่า 50 ชนิด เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย
  • ข้อ 7. ดื่มน้ำและนมให้เป็นนิสัย ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อช่วยระบบขับถ่าย และมีน้ำหล่อเลี้ยงในเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย และควรดื่มนมอย่างน้อยวันละ 1-2 แก้ว ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ เพราะนมอุดมไปด้วยคุณค่าโภชนาการสูง ช่วยในการเจริญเติบโตของเด็ก ๆ ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง โดยชนิดของนมขึ้นอยู่กับวัย หากเป็นเด็กที่กำลังเจริญเติบโต ควรเป็นนมจืดธรรมดา แต่ในผู้สูงอายุควรเป็นนมพร่องมันเนย เพื่อลดคอเลสเตอรอล
  • ข้อ 8. หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด หวานจัด เค็มจัด อาหารหวานจัด เช่น พวกขนมหวานต่างๆหรือการเติมน้ำตาลในเครื่องดื่มต่างๆถ้ากินมากๆจะเป็นพลังงานส่วน เกินสามารถเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมในร่างกายได้ สำหรับอาหารเค็มจัดจะมีแร่ธาตุโซเดียมอยู่มาก ถ้ากินเป็นประจำทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูงได้ หลีกเลี่ยงการเติมเครื่องปรุงรสใดๆก่อนการชิมอาหาร
  • ข้อ 9. กินอาหารสะอาดปราศจากการปนเปื้อน เลือกซื้ออาหารสดสะอาด ล้างผักให้สะอาดก่อนปรุง เก็บอาหารที่ปรุงสุกปิดฝาให้มิดชิด ถ้ามีอาหารเหลือเก็บในตู้เย็น เลือกซื้ออาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆหลีกเลี่ยงอาหารที่เติมสีและอาหารสุกๆดิบๆ
อย่างไรก็ตาม การกินเพื่อสุขภาพยังมีอีกหลากหลายวิธี อยู่ที่ว่าคุณจะเลือกปฏิบัติแบบไหน หลักง่ายๆของการกินอาหารเพื่อสุขภาพ ก็คือ กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ครบทุกมื้อ แต่เลือกชนิดและปริมาณที่เหมาะสม และนอกจากนี้ก็ควรจะต้องออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยจึงจะมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง อารมณ์สดใส และห่างไกลจากโรคร้ายต่างๆ ได้อย่างแน่นอน

วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เคล็บลับง่ายๆที่ช่วยในการนอนหลับอย่างรวดเร็ว

การนอนหลับอย่างสนิท การนอนหลับอย่างเต็มอิ่ม คือยาวิเศษที่ดีที่สุด เพราะการนอนหลับที่ดีนั้นถือเป็นสิ่งสำคัญและเป็นตัวช่วยที่ดีมากๆ ที่สามารถทำให้ร่างกายของเรามีสุขภาพที่แข็งแรง มีหน้าตาที่สดใส และมีผิวพรรณเปล่งปลังขึ้นได้อย่างสมบรูณ์แบบมากที่สุด


แต่..เมื่อไรก็ตามที่เกิดปัญหาของการนอนไม่หลับ นอนหลับยาก หรือนอนหลับไม่สนิทขึ้นมา แล้วไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ยังไง ให้เรามองหันมาปฎิบัติตามวิธีต่างๆเหล่านี้ดู แล้วจะพบว่าการนอนหลับไม่ใช่เรื่องยากเลยจริงๆ

โรคนอนไม่หลับเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น

  • ปัญหาทางด้านอารมณ์ เช่น ภาวะตึงเครียดในชีวิต
  • การเปลี่ยนแปลงในความเป็นอยู่และสภาพแวดล้อม เช่น แสงสว่างมากเกินไป เสียงดัง อุณหภูมิร้อนเกินไป การเปลี่ยนที่นอนและการเดินทางข้ามเส้นแบ่งเวลาโลก การทำงานกะดึก
  • ปัญหาการนอนที่มาจากโรคของการนอนหลับโดยตรง เช่น การเคลื่อนไหวแขนขาที่ผิดปกติขณะหลับ การขาดลมหายใจระหว่างการนอนหลับเป็นพัก ๆ
  • ความผิดปกติทางสรีรวิทยาของผู้ป่วยที่มีความไวกว่าธรรมดา เช่น ภาวะตื่นตัวสูงและตื่นเต้นง่าย
  • โรคทางจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้า โรคในกลุ่มกังวล โรคจิต
  • อาการเจ็บป่วยหรือความไม่สบายทางร่างกาย เช่น สมองเสื่อม ความผิดปกติของฮอร์โมน อาการปวดการไอเรื้อรัง การหายใจลำบาก การตื่นขึ้นมาปัสสาวะบ่อย ๆ 
  • การใช้ยาหรือสารบางชนิด

วิธีที่ช่วยให้การนอนหลับเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น

  • จัดห้องนอนให้มืด เงียบ สบาย ปลอดภัย มีอากาศถ่ายเทสะดวก และปรับอุณหภูมิให้พอเหมาะ จะช่วยให้การนอนหลับนั้นเร็วและดีขึ้นได้
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอเป็นประจำทุกวัน อย่างน้อยวันละ 30 นาที ช่วงเช้าตรู่หรือตอนเย็น จะช่วยลดความตึงเครียดทางร่างกายและอารมณ์ ช่วยให้หลับเร็วตื่นเร็ว
  • ห้ามเล่นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงก่อนนอน เพื่อให้ร่างกายได้ผ่อนคลายและอยากพักผ่อนได้โดยง่าย
  • ลองอาบน้ำหรือแช่น้ำก่อนนอนสัก 1 ชั่วโมง จะทำให้ร่างกายผ่อนคลาย และทำให้การนอนหลับนั้นดีขึ้น
  • ดื่มนมอุ่นๆก่อนนอน เพราะในนมอุ่นๆนั้นมีกรดอะมิโนชื่อว่า "ทริปโตเฟน" ซึ่งช่วยควบคุมการผลิตสารเมลาโทนินในร่างกาย เพื่อทำหน้าที่คลายความตึงเครียดลงของระบบประสาท ทำให้รู้สึกง่วง และช่วยให้หลับสบายตลอดคืน นอกจากนี้การดื่มนมก่อนนอนยังช่วยกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายได้
  • งดกินอาหารก่อนนอน 2 ชั่วโมง เพื่อป้องกันอาการนอนไม่หลับจากการทำงานหนักเกินไปของระบบย่อยอาหาร

แค่โคลนธรรมดาก็สามารถทำให้ผิวสวยได้

การมาส์กหน้าหรือพอกหน้าด้วยโคลนนั้น ถือเป็นการบำรุงผิวอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถช่วยบำรุงฟื้นฟู และลดความมันส่วนเกินของผิวได้


ว่ากันว่าโคลนเป็นวัตถุดิบความงาม ที่นิยมใช้มาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยพระนางคลีโอพัตรา แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าโคลนนั้นมีประโยชน์ และอุดมไปด้วยแร่ธาตุต่างๆที่ดีต่อผิวมากมาย นอกจากนี้โคลนยังเป็นตัวช่วยในการดูแลสุขภาพที่ดีอีกด้วย

ประโยชน์ของ โคลน

โคลน ถือเป็นวัตถุดิบจากธรรมชาติที่มีคุณสมบัติ ช่วยดูดซับสิ่งสกปรกออกจากผิวได้อย่างล้ำลึก ช่วยดูดซับน้ำมันส่วนเกินบนผิว กระชับรูขุมขน และยังเป็นตัวช่วยในการ detox ล้างสารพิษได้อย่างดีเยี่ยม โดยแบ่งได้ง่ายๆ 2 ลักษณะ 
  • โคลนที่ได้จากภูเขาไฟ และ โคลนที่ได้จากน้ำพุร้อน เพราะโคลนที่ได้จากแหล่งเหล่านี้ จะมีธาตุกำมะถันและโพแทสเซียมอยู่สูงมาก
  • โคลนแม่น้ำ ทะเลสาบ และโคลนทะเล ได้แก่ โคลนทะเลเดดซี 
ทั้งนี้โคลนแต่ละแหล่งที่มาจะมีส่วนผสมแร่ธาตุ วิตามิน แตกต่างกันไปด้วย โคลนภูเขาไฟและน้ำพุร้อนมีธาตุกำมะถันและโพแทสเซียมสูง ส่วนโคลนแม่น้ำและทะเลสาบจะมีวิตามินและสารพฤกษเคมีมาก ต่างจากโคลนทะเลที่มีเกลือเป็นส่วนผสมสำคัญ

คุณสมบัติของสีโคลนแต่ละสี
  • โคลนสีดำ มีคุณสมบัติในการช่วยทำความสะอาดผิว ดูดซับความมันและสิ่งสกปรกได้อย่างล้ำลึกมากที่สุด
  • โคลนสีขาว มีคุณสมบัติในการกระชับผิว และกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ทำให้ผิวหน้าสดชื่น เปล่งปลั่งดูมีเลือดฝาด
  • โคลนสีเขียว มีคุณสมบัติยับยั้งริ้วรอย ช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อผิวหน้า เพิ่มการไหลเวียนของโลหิตและน้ำเหลือง ทำให้ผิวหน้าดูอ่อนวัย เป็นที่นิยมมากเพราะว่า เป็นโคลนที่มีสองคุณสมบัติในหนึ่งเดียว นั่นคือ ช่วยลดความมันให้กับผิว และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวแห้ง
และก็มีโคลนอีกประเภทที่แบ่งตามคุณสมบัติเมื่อใช้งาน คือ โคลนร้อนและโคลนเย็น โดยโคลนทั้งสองประเภทมีคุณสมบัติช่วยทำความสะอาดผิวและบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น


วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

3 พฤติกรรมผิดๆที่ส่งผลทำให้ผิวมันโดยไม่รู้ตัว

ความชุ่มชื้นถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผิวพรรณของเรา สวยใสมีสุขภาพดีได้อย่างยาวนาน แต่ก็มีบุคคลบางส่วนที่มักเข้าใจผิดไปว่า การมีผิวหน้าที่มันหยาดเยิ้มนั้นเป็นผิวที่มีสุขภาพดี มีความชุ่มชื้น ซึ่งจะบอกไว้ตรงนี้ว่าความมันที่เกิดขึ้นอยู่ตามผิวนั้นไม่ใช่เรื่องที่ดีเสมอไปเลย


รู้หรือเปล่าว่าความมันที่มีอยู่ตรงบริเวณของผิว เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาอื่นๆตามมาอย่างมากมาย เนื่องจากความมันที่มีอยู่เปรียบเสมือนหลุมดำที่ทำหน้าดูดจับฝุ่นละออง จนเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวและเกิดสิ่งอุดตันต่างๆเกิดขึ้น จนทำให้รูขุมขนของผิวขยายกว้าง เกิดเป็นความไม่เนียนเรียบ แล้วเวลาที่แต่งหน้าก็ทำให้เครื่องสำอางติดไม่ทนอีกด้วย

เราสามารถจัดการหรือลดความมันต่างๆของผิวเหล่านี้ลงได้ ด้วยการหลีกเลี่ยงและทำสิ่งต่างๆดังนี้

หลีกเลี่ยงพฤติกรรมการกำจัดความมันบ่อยเกินไป

การล้างหหน้าบ่อยเกินไป มีหลายคนที่ล้างหน้าบ่อยครั้งเกินไป แถมยังใช้สบู่ที่แรงหรือโฬมชนิดเข้มข้นหรือสบู่ยา ซึ่งรู้รึเปล่าว่าสิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ใบหน้าอักเสบ ระคายเคือง และเกิดการอักเสบของสิวเกิดขึ้นขึ้น การล้างหน้าที่ถูกวิธีจริงๆคือ การล้างหน้าเพียงวันละ 2 ครั้งก็พอแล้ว คือเวลาตื่นนอนตอนเช้า 1 ครั้ง และอาบน้ำตอนเย็น 1 ครั้ง เราไม่ควรล้างหน้าบ่อยครั้งเกินไป เพราะจะทำให้ผิวแห้ง ลอกได้ นอกซะจากกรณีที่ผิวของเรานั้นสกปรกจริงๆ เช่น หลังการทำกิจกรรมต่างๆที่มีเหงื่อออกมาก หลังเล่นกีฬา หลังทำงานบ้าน ทำสวน ทำไร่ คุมงานก่อสร้าง เป็นต้น ก็เพิ่มการล้างหน้ารอบพิเศษอีกสักครั้งได้

การใช้กระดาษซับมัน กระดาษซับมันส่วนใหญ่มีคุณสมบัติดูดซับน้ำมันได้ สามารถใช้ได้โดยไม่ก่อให้เกิดผลเสีย เว้นเสียแต่ว่าใช้อย่างผิดวิธี เช่น ซับหน้าบ่อยจนเกินไป หรือ เช็ดถูหน้าแทนการซับหน้า จะเท่ากับเป็นการรบกวนผิวได้ แต่หากใช้อย่างถูกวิธีก็ไม่มีผลเสียอะไร

บำรุงผิวอย่างถูกวิธี

การบำรุงผิวที่มากเกินไปก็ไม่ดีเช่นกัน เพราะการลงครีมบำรุงในปริมาณที่เยอะๆจะทำให้ผิวถูกรบกวนจากครีมที่หนาเกินเหตุ อาจจะทำให้ผิวอ่อนแอลงได้ แล้วนอกจากนี้ยังจะทำให้เวลาในการที่จะให้ครีมซึมลงสู่ผิว เพราะครีมมีการเกาะกลุ่มกันหนาเกินไป ดังนั้นควรทาในปริมาณที่พอดีจะดีกว่า

หลักขั้นตอนการบำรุงผิว คือ ล้างหน้าก่อนลงครีมบำรุงเสมอ และทาครีมบำรุงในขณะที่ผิวยังเปียกๆอยู่

ลดความเคลียด ทำจิตใจให้สดใส

สาเหตุคือเวลาที่เราเครียดร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านฮอร์โมน และปล่อยฮอร์โมนบางชนิดออกมาในปริมาณที่มากกว่าปกติ เช่น คอร์ทิซอล ซึ่งฮอร์โมนนี้จะส่งผลต่อการผลิตน้ำมันของผิว ทำให้เกิดสิวง่ายขึ้น อีกปัญหาหนึ่งที่มากับความเครียดคือสีผิวไม่สม่ำเสมอ เนื่องจากผิวของเราจะผลิตเม็ดสีแตกต่างไปจากเดิมหากว่าร่างกายของเรากำลังเครียดมากๆ 

ดังนั้น เมื่อไหร่ที่เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเครียด ให้สูดหายใจลึกๆ ผ่อนคลาย นึกถึงแต่เรื่องที่ทำให้สบายใจ หากพอมีเวลาก็ควรจะออกกำลังกายฝึกสมาธิ เล่นโยคะ หรือแม้แต่หาเวลาเล่นกับสัตว์เลี้ยงที่บ้านก็จะช่วยให้จิตใจของเราผ่องใสยิ่งขึ้นค่ะ


ผิวหน้าเนียน เด็ก เด้งดึ๋ง รูขุมขนกระชับขึ้น แค่นมสดเพียงกระป๋องเดียว


นมสด นอกจากจะเป็นแหล่งรวมของวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์ และสัตว์ต่างๆที่เลี้ยงลูกด้วยนมแล้วนั้น รู้หรือเปล่าว่าประโยชน์ของวิตามินที่มีอยู่ในน้ำนม ยังเป็นตัวช่วยสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่สามารถช่วยทำให้ผิวพรรณของเราเนียนนุ่ม สดใส รูขุมขนกระชับขึ้นได้อีกด้วย

ประโยชน์ของนมที่มีผิวพรรณ

เนื่องจาก "กรดแลกติก" ที่อยู่ในน้ำนม เป็น อัลฟา ไฮดรอกซี แอซิด (AHAs) ชนิดหนึ่ง ที่เป็นกรดอินทรีย์ มีสถานะเป็นของเหลวที่ไม่มีสี ซึ่งสามารถละลายได้ดีในน้ำและเอทานอล มักพบได้ในนมเปรี้ยว โยเกิร์ต และชีส 

กรดแล็กติกนี้เกิดขึ้นจากการหมักของแล็กโทส หรือที่เรียกว่าน้ำตาลนม หาผิวได้รับกรดตัวนี้เข้าไปช่วยบำรุงจะทำให้ผิว มีความชุ่มชื้น ขาวใส ดูอ่อนกว่าวัยลงได้ เพราะกรดแลกติกจะเข้าไปช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิว และเข้าไปเพิ่มระดับของเซราไมด์ (ceramide) ซึ่งเซราไมด์นี้เป็นคอมเพลกซ์ลิพิดชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นภายในผิว เปรียบเสมือนเป็นกําแพงปกป้องเพื่อไม่ให้ผิวสูญเสียน้ำ จากการสัมผัสสิ่งต่างๆในสิ่งแวดล้อมนั้นเอง

นอกจากนี้ยังพบสารอาหารบางชนิดที่มีอยู่ในน้ำนม ที่สามารถช่วยลดความรุนแรงและอัตราการเป็นสิวได้ เพราะในน้ำนมมีธาตุของสังกะสี (zinc) ที่เป็นตัวช่วยในเรื่องการลดความรุนแรงของสิว และยังมีวิตามินเอที่เรียกได้ว่าเป็นสารเคมีอ่อนๆของเรตินอยด์ ที่มีสรรพคุณช่วยในการเปิดรูขุมขนที่อุดตันอยู่ และในขณะเดียวกันก็เป็นช่วยลดการอักเสบของสิวได้ไปในตัว 

สูตรน้ำนมบำรุงผิวสวยสามารถทำได้ด้วยวิธีต่างๆ ดังนี้
  • ใช้น้ำนมในการกระชับรูขุมขน : โดยทานมเปรี้ยวหรือบัตเตอร์มิลค์ลงบนผิวบางๆ แล้วปล่อยให้เนื้อครีมซึมซาบลงสู่ผิวประมาณ 15 ถึง 20 นาที จากนั้นให้ล้างออกด้วยน้ำอุ่น และต้องล้างให้สะอาด
  • โทนเนอร์น้ำนมบำรุงผิว : ก่อนอื่นนำสำลีจุ่มลงในนมสดซะก่อน จากนั้นจึงนำมาทาลงบนผิวหน้าให้เปียกชุ่ม แล้วทิ้งไว้ข้ามคืน 

วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เทคนิคง่ายๆของการเลือกซื้อเสื้อชั้นในยังไง ให้ใส่ออกมาแล้วสวยแป๊ะ

หากใครที่กำลังมองหาและมีความต้องการที่จะซื้อชุดชั้นในตัวใหม่ แต่ยังไม่รู้วิธีการเลือกซื้อหรือเลือกไซส์ชุดชั้นในอย่างไรให้ถูกต้องและเหมาะสม วันนี้เราจึงเอาคำแนะดีๆและเคล็ดลับง่ายๆในการเลือกซื้อและเลือกใส่ชุดชั้นในมาฝาก รับรองได้เลยว่าการเลือกซื้อชุดชั้นในมาใส่ในครั้งหน้า พอใส่ออกมาแล้วคุณจะไม่มีวันผิดหวังหรือเสียความรู้สึกอย่างแน่นอน 



การซื้อและเลือกใส่ชุดชั้นในนั้นถือเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก เพราะจำเป็นต้องเลือกให้ถูกต้องและเหมาะสมกับขนาดเต้านมของตัวเอง 

ก่อนอื่นต้องรู้ขนาดของรอบตัวและรอบอกของตัวเองซะก่อน 

โดยการวัดขนาดของรอบอกคือให้ยืนตรงแล้วนำสายที่ใช้วัดตำแหน่งมาวัดรอบอก ( ใช้ด้านเซนติเมตร ) โดยให้สายวัดอ้อมไปทางด้านหลังแล้วพันอ้อมหน้าอกมาข้างหน้า ผ่านจุดหัวนมทั้ง 2 ข้าง จากนั้นให้จดขนาดที่ได้เอาไว้ ต่อมาวัดขนาดรอบตัวโดยการเลื่อนสายวัดจากที่วัดขนาดเต้านมลงมาใต้ราวนม หรือใต้หน้าอก พอวัดเสร็จแล้วให้นำขนาดที่ได้จดลงใต้ขนาดของรอบอกแล้วนำมาลบกัน ซึ่งผลลัพที่ได้จะบอกถึงขนาดของลำตัว  

การวัดขนาดทุกครั้งเส้นรอบวงทั้งสองตำแหน่งนี้ ควรอยู่ในแนวขนานกับพื้นและไม่รัดแน่นหรือหลวมเกินไป จากนั้นนำตัวเลขที่ได้มาลบกันแล้วนำผลต่างมาดูตารางการเปรียบเทียบของขนาดชุดชั้นใน




มีวิธีการลองเสื้อชั้นในที่ถูกต้อง

  • ต้องลองก่อนว่าเนื้อผ้าแบบไหนใช้แล้วสบาย ไม่ทำให้คัน อึดอัด หรือหลวมจนเกินไป
  • การลองเสื้อชั้นในควรขยับไปมาหันซ้ายหันขวา ลองโน้มตัวลงไปข้างหน้า แล้วมองดูหน้าอกในกระจก ว่าเนื้อหน้าอกของคุณปลิ้นออกมานอกเสื้อชั้นในหรือไม่ หากใช่แสดงว่าขนาดคัพเล็กเกินไป
  • ลองชูแขนสองข้างเหนือศีรษะดูว่า เสื้อชั้นของคุณยังเกาะอยู่ที่หน้าอกดีหรือไม่ หากมันเลื่อนไปตามขณะยกมือขึ้นก็แสดงว่าหลวมเกินไป
  • หากเลือกใส่ชุดชั้นในแบบมีโครง ให้ลองขยับตัวหรือพลิกตัวดูจนแน่ใจว่าโครงของมันจะไม่กดหรือทิ่มเข้าไปในเนื้อ
  • แถบผ้าของเสื้อชั้นในที่อยู่ระหว่างหน้าอกก็ควรแนบไปกับผิว หากมันลอยขึ้นมาแสดงว่าเสื้อชั้นในตัวนั้นเล็กเกินไป
  • ขณะลองเสื้อชั้นใน ให้เราใส่เสื้อผ้าที่เราสวมมาด้วยใส่ทับลงไป เพื่อดูว่าเสื้อชั้นในที่เราเลือกช่วยเสริมสร้างรูปร่างของหน้าอกให้ดูดีหรือไม่